ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
คอลัมนิสต์ประจำอปท.นิวส์ ย้อนกลับ
กระยาสารทแม่บ้านเกาะพิบูลพัฒนา กลิ่นหอมรสหวานอร่อยลิ้น
05 มิ.ย. 2562

          วันสารทไทยเป็นอีกหนึ่งวันประเพณีของการบุญที่จะจุดขึ้นทุกเดือน 10 หรือเดือนตุลาคม โดยลักษณะของประเพณีดังกล่าวจะคล้ายกับงานเชงเม้งซึ่งเป็นประเพณีไหว้บรรพบุรุษของจีนที่จะมีการทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับ รวมถึงจะมีการตักบาตรด้วยกระยาสาทรที่มีความเชื่อว่าหากไม่ใส่บาตรด้วยกระยาสาทรผู้ที่ล่วงลับไปแล้วก็จะไม่ได้รับส่วนบุญกุศล ซึ่งแต่ละบ้านก็จะมีสูตรมีการกะยาสารทไม่เหมือนกันอีกด้วย ทำให้ต่อมาได้มีการจัดประกวดกะยาสาทรแลกเปลี่ยนของแต่ละบ้าน ซึ่งสูตรแต่โบร่ำโบราณนั้นกระยาสาทรจะทานคู่กับกล้วยไข่ แต่ทางกลุ่มแม่บ้านเกาะพิบูลพัฒนา ได้ผสมผสานขนมกะยาสารทแบบเดิมที่เคยใช้ข้าวตรังมาผสมผสานกับกล้วยไข่เกิดเป็นรสชาติมันหวานไม่เหมือนเดิมอีกเลย ยังไม่เพียงเท่านั้นทางพิบูลพัฒนายังได้พัฒนาสูตรใหม่ ๆ ออกมาอย่างเรื่อย ๆ

          นางสนอง ทุ่มน้อย ประธานกลุ่มแม่บ้านเกาะพิบูลพัฒนา ตำบลลานดอกไม้ตก อำเภอโกสัมพีนคร จังหวัดกำแพงเพชร กล่าวว่า  กะยาสารทคือหนึ่งในอาหารโบราณที่มักจะถูกทำขึ้นในวันสารทไทย ถือเป็นขนมที่ทำขึ้นมาเพื่อสำหรับทำบุญให้กับผู้ที่ล้วงลับไปแล้ว เนื่องด้วยกะยาสารทได้รับความนิยมมากในจังหวัดกำแพงเพชร จึงได้มีการจัดประกวดกะยาสารทขึ้นในจังหวัด ซึ่งกลุ่มแม่บ้านเกาะพิบูลพัฒนาเองก็ได้เข้าร่วมเช่นกันโดยทางกลุ่มได้พลิกแพลงสร้างความแตกต่างแต่ยังคงรสชาติของกะยาสารทได้เหมือนเดิม โดยการนำกล้วยไข่มาเป็นวัตถุดิบแทนข้าวเม่าด้วยการเอากล้วยไข่ดิบมาทอดและกวนในน้ำ นั้นทำให้รสชาติต่างจากข้าวเม่าทั่วไปที่ส่วนใหญ่รสชาติจะผสมผสานกันกลมกล่อมแต่แบบกล้วยไข่จะเป็นลักษณะเหมือนกับการทอดแล้วเคลือบอีกทีหนึ่ง ซึ่งเมื่อได้สัมผัสแรกคือความกรอบของกล้วยไข่เนื่องจากได้มีการทอดจนสุกเรียบร้อยแล้วตามมาด้วยความมันของกล้วยไข่ทำให้รู้สึกเพลิดเพลินเมื่อกินและอยากกินซ้ำ ๆ 

          ทั้งนี้กระยาสารทของกลุ่มแม่บ้านเกาะพิบูลพัฒนาก็ไม่ใช่เพียงกลุ่มเดียวที่นำกล้วยไข่มาทำแทนข้าวเม่าแต่นี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ได้นำสูตรนี้มาปรับปรุงด้วยกรรมวิธีที่พิถีพิถันให้เกิดเป็นรสชาติที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์และยังคงรสชาติอันหวานอร่อยของกระยาสารทได้อย่างครบถ้วนจนสามารถเปลี่ยนแปลงให้ขนมที่เคยทำแค่ในงานประเพณีวันสารทไทยสามารถทำขายได้ในทุกเทศกาล

         “โดยตอนนี้ได้มีการวางขายทั่วไปและทำตามออเดอร์ตามที่ลูกค้าสั่งและได้ทำส่งไปสู่ต่างจังหวัด เช่น จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งสั่งเดือนละครั้งครั้งหนึ่งก็ประมาณ 200 แพ็ค ขณะที่กรุงเทพฯ จะนาน ๆ ที่สั่ง 2-3 เดืนอสั่งทีแต่สั่งทีก็ประมาณ 1,000 แพ็ค นอกจากนี้ก็ยังมีวางขายตามร้านของฝากในจังหวัดกำแพงเพชรและได้มีการออกบูธต่าง ๆ อีกด้วย โดยทุกวันนี้ที่ทุกคนซื้อกลับไปเป็นของฝาก เหตุเพราะขนมกระยาสารทแม่บ้านเกาะพิบูลพัฒนาเป็นของฝากที่มีคุณภาพ” ประธานกลุ่มแม่บ้านเกาะพิบูลพัฒนา กล่าว

           ประธานกลุ่มแม่บ้านเกาะพิบูลพัฒนา บอกอีกว่า รายได้ของกลุ่มที่ได้จากผลิตภัณฑ์กระยาสารทจะอยู่ที่ประมาณ 25,000 บาทต่อเดือน แต่ถ้าเป็นช่วงเทศกาลหรือประมาณช่วงเดือน 10 ก็จะได้ประมาณ 100,000 กว่าบาทได้อย่างง่าย ๆ เลยเพราะจะมีการรับซื้อจำนวนมาก จนบางครั้งก็เกือบขายไม่ทัน

รู้ไว้ใช้ว่ากระยาสารทคืออะไร? (ล้อมกรอบ)

          ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับขนมกระยาสารทโดยส่วนใหญ่มีวัตถุดิบหลักเป็นถั่วงาและข้าวเม่าข้าวตอกกวนกับน้ำตาล แต่เดิมนิยมทําเฉพาะในเทศกาลสารท โดย “สารท” เป็นประเพณีนิยมมาแต่โบราณกาลว่าเทศกาลทำบุญสิ้นเดือน 10 คือ วัน เวลา เดือน และปีที่ผ่านพ้นไปกึ่งปี และโดยที่มนุษยชาติดำรงอยู่ได้ด้วยเกษตรกรรมเป็นหลักสำคัญ เมื่อถึงกึ่งปีเป็นฤดูกาลที่ข้าวออกรวงเป็นน้ำนม จึงได้มีกรรมวิธีปรุงแต่งที่เรียกกันว่า กวนข้าวทิพย์ หรือ ข้าวปายาส ข้าวยาคู และขนมชนิดหนึ่งเรียกว่า กระยาสารท แล้วประกอบการบำเพ็ญกุศลถวายพระสงฆ์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ข้าวในนาทั้งอุทิศส่วนกุศลให้บรรพชนผู้มีพระคุณ และแจกสมนาคุณญาติมิตรตามคติที่ชาวไทยเป็นพุทธศาสนิกชน แม้จะเป็นประเพณีที่มีส่วนมาจากลัทธิพราหมณ์ ชาวไทยก็นิยมรับเพราะเป็นประเพณีในส่วนที่มีคุณธรรมอันดีพึงยึดถือปฏิบัติ

          ถือเป็นอีกหนึ่งเทศกาลทำบุญสิ้นเดือนสิบเป็นฤดูทำบุญด้วยเอาข้าวที่กำลังท้อง มาทำยาคูและกวนข้าวปายาสเลี้ยงพราหมณ์ อย่างนี้เรียกว่า กวนข้าวทิพย์ ส่วนผู้นับถือพุทธศาสนานำคตินั้นมาใช้ แต่เปลี่ยนเป็นถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ อุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติในปรโลก สำหรับชาวบ้านทั่วไปมักทำแต่กระยาสารท

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 เมษายน 2567
อปท.เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
27 ธ.ค. 2566
แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น ไม่เพียงต้องดูแลรักษาผู้ป่วยตามหลักการทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของผู้ป่วยอย่างแท้จริงอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่จะทำงานอาชีพนี้ ต้องมีหัวใจและอุดมการณ์ที่มีความเสียส...