ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
อปท.เชิญเป็นแขก ย้อนกลับ
ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.เขต 2 โฆษกพรรคพลังประชารัฐ
14 ก.พ. 2565

บทบาทสตรีไทยกับการเมืองในอดีตนั้น น้อยนักที่จะได้เห็น แต่พัฒนาการต่างๆ และการยอมรับก็ก้าวขึ้นมาเป็นลำดับ ปัจจุบันสตรีไทยหลายต่อหลายคนมีดีกรีการศึกษาเทียบกับสุภาพบุรุษหรือผู้ชายอกสามศอกพร้อมทั้งมีความสามารถในการบริหารงานระดับสูง จนประสบความสำเร็จได้อย่างน่าอัศจรรย์ จึงไม่แปลกที่วันนี้เราจะเห็นสุภาพสตรีกระโจนเข้าสู่สนามการเมืองอย่างมากหน้าหลายตา

ผลการเลือกตั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 มีผู้สมัครที่เป็นผู้หญิงได้รับเลือกมาเป็น ส.ส. ทั้งหมด 76 คนจากทุกพรรค ซึ่งคำนวณได้เป็นร้อยละ 14ซึ่งถือว่ามากที่สุดในการเลือกตั้งของประเทศไทย แต่ก็ยังถือว่าน้อยกว่าหลายประเทศในโลกโดยจากทั้งหมด 76 คนแบ่งเป็นพลังประชารัฐ 22 คนเพื่อไทย 21 คนอนาคตใหม่ 12 คน (ตามเพศสภาพ 14 คน)ประชาธิปัตย์ 9 คนภูมิใจไทย 4 คนรวมพลังประชาชาติไทย 2 คนเสรีรวมไทย 2 คนเพื่อชาติ 2 คนพลเมืองไทย 1 คน และเศรษฐกิจใหม่ 1 คน

วันนี้ .... ฉบับนี้ อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก จึงขอนำท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับ ส.ส.หญิงท่านหนึ่ง ที่ถือเป็นเซอร์ไพรส์ ที่ขึ้นมารับหน้าที่กระบอกเสียงของพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล นั่นก็คือ พรรคพลังประชารัฐ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา ในการประชุมใหญ่สามัญพรรค นอกจากแต่งตั้งรองหัวหน้าพรรคแล้ว 10 คน แล้ว ยังมีการแต่งตั้งโฆษกพรรคคนใหม่ แทนนายธนกร วังบุญคงชนะ ที่ไปนั่งเป็นโฆษกรัฐบาลและ ส.ส.ที่ขึ้นมานั่งเป็นโฆษกพรรคนั้น ก็เป็นสุภาพสตรีหน้าใหม่ในวงการเมืองด้วย โดยเป็น ส.ส.กทม. เขต 2ปทุมวัน บางรัก สาทร ชื่อ “ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์”​ หรือ "ดร.ส้ม" หลานสาวของนายไพบูลย์​ ซำศิริพงษ์​ อดีตส.ว.ปทุมธานี​ อย่างไรก็ตาม หากใครติดตามข่าวในวงการสังคม โดยเฉพาะเวทีประกวดนางงามแล้ว ต้องคุ้นหูกับชื่อของเธอผู้นี้อย่างแน่นอน เพราะเธอคือ เจ้าของตำแหน่ง Miss Intelligent จากการประกวดนางสาวไทยประจำปี 2552

“ดร.ส้ม” เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2530 ปัจจุบันก็อายุย่างเข้า 35 ปีจบการศึกษาปริญญาตรี คณะบัญชี  มหาวิทยาลัยรังสิต, Master of Science (Criminal Justice) SAM HOUSTON STATE UNIVERSITY ประเทศสหรัฐอเมริกา​ และปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (อาชญาวิทยา การบริหารงานยุติธรรมและสังคม) มหาวิทยาลัยมหิดล

กล่าวกันว่า ดร.ส้ม ที่เป็นสาวรุ่นใหม่ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาสร้างสังคมไทยให้ดียิ่งขึ้น ผ่านการนำความรู้มาช่วยขับเคลื่อนสังคม โดยเป็นเด็กกิจกรรมและอยากช่วยเหลือสังคมมาตั้งแต่วัยเด็ก ดร.ส้ม เล่าว่า เรียนจบปริญญาตรี คณะบัญชีมหาวิทยาลัยรังสิต ต่อมาก็มาศึกษาต่อในระดับปริญญาโท สาขาวิชาอาชญาวิทยา ที่ Sam Houston State University สหรัฐอเมริกา ก่อนจะจบปริญญาเอก ด้านปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา อาชญาวิทยาการบริหารงานยุติดธรรมและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล โดยสาเหตุที่จบมาด้านนี้ เพราะมีความสนใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้นมากมายภายในสังคม และความสนใจที่อยากศึกษาพฤติกรรมของคนและเรียนรู้ถึงแก่นแท้ของอาชญากรรม จึงตัดสินใจเรียนต่อด้านนี้ทันทีซึ่งเป็นสาขาที่คนยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก อาจารย์ทางด้านนี้ยังไม่มีมากเพราะคนเรียนน้อยอยู่ ก็อยากจะเป็นอาจารย์และสอนเกี่ยวกับด้านนี้

จากนั้นก็ได้เดินสายนักวิชาการ สอนด้านด้านอาชญาวิทยา ในระดับปริญญาตรี โท เอก เลยเป็นโอกาสให้ได้รู้จักกับผู้ใหญ่ตามหลักสูตรต่างๆ ซึ่งก็ได้มีการชักชวนไปทำเรื่องต่างๆ จนผู้ใหญ่เห็นความตั้งใจ จึงชวนมาลงการเมืองในพรรคพลังประชารัฐประกอบกับตัวเองก็เป็นเด็กกิจกรรมที่มีอยากจะสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม และการเมืองก็เป็นส่วนสำคัญต่อบ้านเมือง ซึ่งสามารถพัฒนาสังคมได้จึงมีความสนใจในการเข้าร่วมโดย ดร.ส้ม ได้ให้เหตุผลที่เลือกฝากอุดมการณ์กับพรรคพลังประชารัฐเอาไว้ว่า

“พรรคพลังประชารัฐ เป็นพรรคที่เปิดโอกาสให้กับคนหลายๆ กลุ่ม รวมทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างตัวส้มเอง ที่เข้ามาครั้งแรกก็เข้ามาในฐานะกลุ่มคนรุ่นใหม่ในวัย 31 ปี เท่านั้น หรือในสมาชิกพรรคก็มี ส.ส.ที่เด็กกว่าส้มอยู่ประมาณ 2 คน จาก ส.ส. ทั้งหมดร้อยกว่าคน เราก็ถือว่าเป็นน้องๆ ของพรรค อาจจะไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองก็ได้ แต่เรามีประสบการณ์ในการใช้ชีวิต เรามีประสบการณ์ในการทำงานมาแล้ว สิ่งสำคัญเลย พรรคก็ยังคงเชิดชูใน 3 เสาหลักของประเทศเรา ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แล้วในการทำงานเรายึดคติอยู่แล้วว่า เราจะต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส และเราคิดว่าในพรรคนี้ จากการทำงานร่วมกับผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน ก็สามารถที่จะขับเคลื่อนเจตนารมณ์ของเราได้”

ดร.ส้ม เผยอีกว่าตอนแรกที่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐได้ลงสมัครเลือกตั้ง ได้รับเป็น ส.ส. เขต 2 กทม. ปทุมวัน บางรัก สาธร ซึ่งก็ได้ช่วยงานวิปรัฐบาล และได้ช่วยงานด้านต่างๆ เพราะเป็นคนที่ชอบทำงานจนผู้ใหญ่เห็นถึงความตั้งใจ และมีทักษะในการสื่อสารทำให้หัวหน้าพรรคได้แต่งตั้งให้เป็นโฆษกของพรรคพลังประชารัฐในเวลาต่อมา

ดร.ส้ม ให้ความเห็นว่า ทเมื่อได้มาเล่นการเมืองเต็มตัว อีกสิ่งที่เธอได้เตรียมรับมือการเป็นสมาชิกของพรรคพลังประชารัฐคือแรงกดดันจากการขั้วการเมืองตรงข้ามหรือคนเห็นต่างที่จะมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องบางครั้งก็พยายามดิสเครดิต ซึ่งเป็นธรรมชาติของการเมืองสมัยก่อน โดยตัวเธอเคยโดนคอมเมนต์หลายหมื่นคอมเมนต์ ซึ่งก็ได้เตรียมใจไว้แล้วระดับหนึ่ง เพราะเป็นสิ่งที่อาจจะต้องเจอเมื่อลงเล่นการเมืองหลายๆครั้งก็เลือกที่จะไม่อ่านคอมเมนต์ และพยายามยึดจุดยืนในสิ่งที่ตัวเองทำและทำทุกอย่างบนความถูกต้อง โดยหลักคิดที่ยึดมั่นเสมอ นั่นคือ ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา ต้องมีความมั่นใจยังไง ไม่สั่นคลอนแม้มีอะไรมากระทบให้รู้สึกเขว ต้องยึดมั่นในตัวเอง ทำงานตามสิ่งที่เราตั้งใจเอาไว้

ถ้ามีข่าวหรือมีอะไรสร้างประเด็นให้เรา บางทีเราก็นิ่งถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริง แต่ถ้ามันสร้างความเสียหายให้เรามาก เราก็อาจจะต้องมาชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงโดยต้องมองทุกอย่างว่าไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและต้องหนักแน่นไม่เอนไปตามกับสิ่งที่มากระทบเรา เพราะอยากอยู่การเมืองใหม่ ทะเลาะกันไป ทะเลาะกันมา ฝ่ายค้านกับรัฐบาล ใส่ร้ายกันไป ใส่ร้ายกันมา ใส่ร้ายป้ายสี เราก็อยากเห็นวันหนึ่งการเมืองที่เกิดขึ้นคือ อะไรที่ดี ฝ่ายค้านก็สนับสนุน แต่สิ่งไหนที่ฝ่ายค้านมีเหตุผล รัฐบาลก็รับข้อเสนอแนะไปทำ เราก็หวังว่าวันหนึ่งการเมืองจะเปลี่ยนไป และพัฒนามากขึ้นดร.ส้ม กล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

ดร.ส้ม บอกต่อว่า โดยหลังจากได้เป็นส่วนหนึ่งของพรรคการเมืองในการเข้ามาทำหน้าที่โฆษกพรรคพลังประชารัฐมีเป้าหมายในการสร้างประโยชน์ให้กับสังคมซึ่งเธอมีความสนใจที่จะขับเคลื่อนทางด้านกฎหมาย เนื่องจากเป็น ส.ส.ของกรุงเทพฯ โดยพยายามสร้างความปลอดภัยของคนในกรุงเทพฯ ให้ประชาชนอย่างแท้จริง เช่น เสนอตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการถูกข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งเป็นเรื่องความปลอดภัยขั้นพื้นฐานที่ประชาชนควรจะได้รับ รวมไปถึงดึงหน่วยงานหลายๆ หน่วยงาน พร้อมให้ประชาชนมีส่วนร่วมโดยการแจ้งเบาะแส เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั่วกรุงเทพมหานคร ห่างไกลจากอาชญากรรม เพราะปัจจุบันยังมีจุดเสี่ยงต่างๆ ในกรุงเทพ ทั้งที่มืด ที่เปลี่ยว ไฟฟ้า จริงๆ เป็นพื้นฐานที่หน่วยงานต่างๆ ที่ดูแลสามารถแก้ไขได้ แต่ยังพบจุดอับอย่างนี้ในกรุงเทพฯ

“นอกจากนี้ยังได้เสนอกฎหมายในการควบคุมคนที่กระทำความผิดซ้ำ คนที่ยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หมายความว่า เขาครบกำหนดการจำคุก แต่พฤติกรรมเขายังไม่ปรับ อย่างสมคิด พุ่มพวง เหมือนไอซ์ หีบเหล็ก ออกมาสุดท้ายยังมาก่ออาชญากรรมแบบเดิมให้กับสังคมอีก ตรงนี้ส้มมีเสนอ พ.ร.บ. เข้าไป ที่จะมาควบคุมคนกลุ่มนี้ ถ้าพฤติกรรมเขาไม่เปลี่ยน เราจะสามารถควบคุมยังไงได้บ้าง จะมีการควบคุมยังไง เช่น ใส่กำไล EM หรือต้องให้เขาได้รับการประเมินจากทางการแพทย์ก่อน คือมอนิเตอร์เลย”

“อย่างอเมริกาเขาจะนิเตอร์เลยว่าคนนี้อยู่ไหนยังไง แล้วเปิดเป็นpublic (สาธารณะ)เลยเพื่อให้ประชาชนรู้ว่าในถิ่นที่เขาอยู่ มีใครเป็นกลุ่มเสี่ยง มีใครที่เคยกระทำความผิดแล้วมีแนวโน้มน่ากลัวอยู่ แต่ว่าประเทศไทยยังทำไม่ได้ เราก็ทำเป็น ขั่นตอนไป ก็อาจจะมีมอนิเตอร์โดยหน่วยงาน ไม่ได้เปิดเป็น public นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในฐานะนิติบัญญัติที่เราผลักดัน คือเราผลักทั้งด้านกฎหมาย ผลักดันทั้งด้านสังคมกับหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งให้ประชาชนมีส่วนร่วม”

สำหรับในเรื่องของการสร้างมาตรการดูแลประชาชนในยุคโควิด ดร.ส้ม บอกว่า ก็ยังได้ขับเคลื่อนด้านการปลูกฟ้าทะลายโจรคู่บ้านต้านโควิด เพราะยาฟ้าทะลายโจรได้กลายเป็นพระเอก ที่จะรักษาได้อาการจากโควิดได้จริง ส่วนตัวก็เคยประสบการณ์ตรง ในการใช้ฟ้าทะลายโจรในการรักษา แถมตอนนี้คนก็เริ่มศึกษามากขึ้น มีนักวิชาการทำวิจัยกันมากขึ้น ทั้งศึกษาสรรพคุณของฟ้าทะลายโจรมากขึ้นจนเป็นที่ประจักษ์แล้ว ก็เลยทำโครงการดังกล่าวขึ้นมา เพราะต้นฟ้าทะลายโจรเองก็ไม่ได้ใหญ่มาก เราก็สามารถปลูกติดบ้านได้ เป็นไข้ทั่วๆ ไปก็สามารถทานได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นโควิดเท่านั้น อีกอย่างคือเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับกรุงเทพฯ ของเราด้วย ปลูกบ้านละต้นก็จะเป็นพลัง สามารถฟอกอากาศให้คนกรุงเทพฯ ด้วย

จากแนวคิดที่ก้าวหน้าและพร้อมเชื่อมการเมืองทุกฝ่ายเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่ข้าง ด้วยเป้าหมายของ ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์อาจจะเป็นหนึ่งความหวังของการเมืองยุคใหม่ในอนาคตก็เป็นได้ โดยดร.ส้มยังมีไฟและทำวันนี้ให้ดีที่สุดเท่านั้น โดยหวังว่า การที่ได้เป็น ส.ส.จะได้ทำประโยชน์อย่างเต็มที่ให้กับประชาชนได้ทำอย่างคุ้มค่าในการที่เราได้มาอยู่ในตำแหน่งนี้

 

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 1 - 15 พฤษภาคม 2567
อปท.เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
27 ธ.ค. 2566
แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น ไม่เพียงต้องดูแลรักษาผู้ป่วยตามหลักการทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของผู้ป่วยอย่างแท้จริงอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่จะทำงานอาชีพนี้ ต้องมีหัวใจและอุดมการณ์ที่มีความเสียส...