โลกของจีน : โดย ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ
บทบาทจีนในอัฟกานิสถาน
ข่าวใหญ่ของโลกที่เข้ามาแทรกข่าวโควิด-19 ที่ยังแพร่ระบาดอยู่ทั่วโลกได้คือ การที่สหรัฐอเมริกาและกองกำลังนาโต้ถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานอย่างกระทันหัน ปล่อยกลุ่มติดอาวุธตาลีบัน สามารถเข้ายึดครองกรุงคาบูลได้อย่างรวดเร็วเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
แต่ภาพที่ช็อคความรู้สึกคือ ชาวอัฟกันนับพันคนวิ่งกันพล่านสนามบินเพื่อหวังอพยพออกไปต่างประเทศ ส่วนหนึ่งแย่งกันขึ้นเครื่องบิน ส่วนหนึ่งเกาะปีกและล้อเครื่องบินที่กำลังบินขึ้นจนตกลงมาตาย
ภาพการถอนทหารอเมริกันจากอัฟกานิสถานถูกเอาไปเปรียบเทียบกับวันที่สหรัฐฯ ถอนทหารและอพยพผู้คนออกจากกรุงไซ่ง่อน เวียดนามใต้ เมื่อปี 1975 เป็นความพ่ายแพ้อีกครั้งของสหรัฐอมริกาที่ไปก่อสงครามนอกบ้านตัวเอง สุดท้ายเอาชนะไม่ได้ จึงถอนตัวออก ทิ้งปัญหาและความวุ่นวายเอาไว้เบื้องหลัง
รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเอาชีวิตทหารอเมริกันกว่า 2,500 นาย มาทิ้งที่อัฟกานิสถาน พร้อมกับงบประมาณทางทหารกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วง 20 ปี ด้วยเหตุผลเริ่มต้นในการตามล่าอุซามะห์ บิน ลาเดน ผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์ ที่ถล่มอาคารเวิล์ดเทรดเมื่อ 11 กันยายน 2001 ทำให้ประธานาธิบดีจอร์จ บุช ในขณะนั้น สั่งกองทัพบุกอัฟกานิสถานเพื่อกวาดล้างกลุ่มก่อการร้าย แต่อเมริกาก็ต้องติดหล่มสงครามอยู่นานถึง 2 ทศวรรษ
การถอนทหารอย่างกระทันหันครั้งนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน อ้างเหตุผลว่า เพราะบรรลุเป้าหมาย 2 ประการแล้วคือ 1. ส่งอุลซามะห์ บิน ลาเดน สู่ประตูนรก 2.กำจัดความสามารถของกลุ่มอัลกออิดะห์ที่จะโจมตีสหรัฐฯ ได้อีก ดังนั้น อนาคตของอัฟกานิสถานจึงเป็นเรื่องของชาวอัฟกันที่ต้องกำหนดชะตาชีวิตตัวเองต่อไป
อัฟกานิสถานที่รัฐบาลสหรัฐฯ อุ้มชูมายาวนานน่าจะดี แต่กลับกลายเป็น 1 ในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก โดยข้อมูลธนาคารโลกระบุว่า ในปี 2020 ชาวอัฟกันประมาณ 20% มีคุณภาพชีวิตที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน มีรายได้น้อยกว่า 2 ดอลลาร์/วัน
สภาพเศรษฐกิจของอัฟกานิสถานมีความเปราะบาง ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศ การเมืองไร้เสถียรภาพ การลงทุนมีน้อย ระบบโครงสร้างพื้นฐานไม่ได้รับการพัฒนา ขณะที่การทุจริตคอร์รัปชั่นสูง
ความพ่ายแพ้ของสหรัฐฯ ครั้งนี้ กลับกลายเป็นชัยชนะของจีนที่นั่งดูอยู่เฉยๆ เพราะย้อนไปเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม นายมุลลาห์ อับดุล กานี บาราดาร์ หนึ่งในผู้นำด้านการเมืองของกลุ่มตาลีบัน นำคณะเข้าพบนายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ที่เมืองเทียนจิน
ภาพการพบปะระหว่างผู้นำกลุ่มตาลีบันกับรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ที่เจตนาเผยแพร่ไปทั่วโลกในขณะที่สหรัฐฯ กำลังถอนทหาร เป็นการบอกกล่าวให้รู้ว่า ใครกำลังไป และใครกำลังมา
รัฐมนตรีหวัง อี้ กล่าวในวันนั้นว่า จีนได้ให้คำมั่นว่า จะขยายความร่วมมือกับประชาชนชาวอัฟกานิสถาน และจะไม่แทรกแซงกิจการของอัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นท่าทีสากลที่จีนยึดมั่นใช้กับนานาชาติ
แต่ในโอกาสเดียวกัน จีนได้ถือโอกาส “จิก” เล็กๆ ว่า การที่สหรัฐฯ และกองทัพนาโตรีบร้อนถอนกำลัง แสดงให้เห็นว่า นโยบายของสหรัฐฯ นั้น ล้มเหลวในการสร้างโอกาสที่สำคัญสำหรับประชาชนชาวอัฟกานิสถานในการที่จะสร้างเสถียรภาพให้ตนเองและพัฒนาประเทศ
ช่วงที่กลุ่มตาลีบันเข้ายึดครองกรุงคาบูล เมืองหลวงของอัฟกานิสถานได้อย่างรวดเร็วและไร้การต่อต้านเลยนั้น แม้จะลดความกังวลเรื่องสงครามกลางเมือง แต่ก็ยังไม่มั่นใจเรื่องการใช้กฎหมายชารีอะห์และข้อบังคับแบบสุดโต่งดังในอดีต
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาเมื่อโฆษกตาลีบันออกมาแถลงถึงท่าทีของกลุ่มว่า ต้องการมีความสัมพันธุ์แบบสันติกับนานาชาติ จะเคารพสิทธิผู้หญิงภายใต้กรอบกฎหมายศาสนาอิสลาม อนุญาตให้ผู้หญิงออกทำงานและเรียนหนังสือ ประกาศนิรโทษกรรมข้าราชการและนักการเมืองที่เคยอยู่ฝ่ายตรงข้าม จึงเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดและทำให้เห็นว่า ผู้นำตาลีบันยุคนี้มีการปรับเปลี่ยนความคิดไปมาก และการเปลี่ยนผ่านของอัฟกานิสถานอาจจะราบรื่นกว่าที่เคยเป็นห่วง
สำหรับจีนนั้น แม้จะมีเขตแดนติดกันไม่ถึง 100 กิโลเมตร แต่อัฟกานิสถานก็มีความสำคัญอย่างน้อย 3 ด้านคือ
1. เป็นประเทศในเอเชียกลาง อยู่ในเส้นทางสายไหมยุคใหม่ของจีน ซึ่งที่ผ่านมา ยังติดขัดในด้านความร่วมมือโดยเฉพาะปัญหาการก่อการร้ายที่ขัดขวางโครงการ เชื่อว่า หลังจากกลุ่มตาลีบันเข้าปกครองโดยสมบูรณ์อย่างสงบและสันติ มีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ จะเกิดความร่วมมือระหว่างจีนกับอัฟกานิสถานในการพัฒนาเส้นทางคมนาคมและระบบสาธารณูปโภคซึ่งอัฟกานิสถานยังมีความต้องการอีกมาก
2. มีผลต่อการแก้ปัญหาการก่อการร้ายในจีน เพราะเป็นที่ทราบกันว่า ขบวนการอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก (East Turkestan Islamic Movement – ETIM) ที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน โดยสร้างสถานการณ์ก่อกวนอยู่แถวชายแดนจีนในมณฑลซินเจียงนั้น ได้ใช้พื้นที่รอยต่อกับอัฟกานิสถานเป็นที่พักพิงและเคลื่อนไหว
โฆษกกลุ่มตาลีบันเคยรับปากว่า จะไม่ให้แผ่นดินอัฟกานิสถานเป็นฐานวางแผนต่อต้านความมั่นคงของประเทศใดๆ ขณะที่จีนก็สัญญาว่า จะไม่แทรกแซงกิจการภายในของอัฟกานิสถาน แต่จะช่วยแก้ไขปัญหาและนำมาซึ่งสันติภาพ
3. บนแผ่นดินที่ดูแห้งแล้งของอัฟกานิสถานนั้น มีทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่ามากมายซ่อนอยู่ใต้ดิน เช่น เหล็ก ทองแดง ทองคำ น้ำมัน โดยเฉพาะแหล่งแร่ลิเทียมที่หายาก และเชื่อว่าเป็นแหล่งใหญ่สุดในโลกพอๆ กับที่พบในโบลิเวีย จึงเป็นโอกาสที่รออยู่ของอัฟกานิสถานที่จะพลิกฟื้นเป็นประเทศที่ร่ำรวยในภูมิภาค และก็เป็นของโอกาสของจีนที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาด้านเหมืองแร่อยู่แล้ว
รัฐบาลใหม่ของอัฟกานิสถานภายใต้กลุ่มตาลีบัน ต้องการเสียงสนับสนุนจากประเทศที่มีอิทธิพลในภูมิภาคเพื่อสร้างความชอบธรรมในเวทีนานาชาติ ซึ่งจีนคือเพื่อนบ้านสำคัญ ที่ไม่เพียงเปิดประตูต้อนรับแล้วยังมีความพร้อมที่จะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ในการกอบกู้เศรษฐกิจจากซากปรักหักพังที่สหรัฐอเมริกาขี้ทิ้งเอาไว้