1 เม.ย.2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้กำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ไว้ที่ร้อยละ 10 ตามประมวลรัษฎากร ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงจากระบบภาษีการค้ามาเป็นระบบภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อปี 2535 แต่ได้มีการบรรเทาลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีจะออกพระราชกฤษฎีกาลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือร้อยละ 7 เป็นระยะ ๆ จะมีเพียงก็แต่เพียงในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 เท่านั้นที่มีการขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นร้อยละ 10

ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 ให้คงการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณีที่เข้าลักษณะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับรายการที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึง 30 กันยายน 2564 เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ซึ่งอัตราส่วน 1 ใน 9 ของภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นจะถูกโอนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมาย

ในแต่ละประเทศมีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่แตกต่างกันไป อาทิ อินโดนีเซีย เวียดนาม และญี่ปุ่นจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่อัตราร้อยละ 10 สิงคโปร์จัดเก็บที่ร้อยละ 7 มาเลเซียจัดเก็บที่ร้อยละ 6 ซึ่งไทยมีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้อยละ 7 เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ด้านเศรษฐกิจ ไม่เป็นภาระแก่ประชาชนเกินจำเป็น และช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกทางหนึ่งด้วย

ก่อนหน้านี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้พิจารณาปรับเพิ่มอัตราภาษีใดๆ รวมทั้งอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มยังคงที่ในอัตรา 7% โดยจะครบกำหนดสิ้นเดือนกันยายนนี้ และขยายอัตราเดิมออกไปอีก 1 ปี

สำหรับการศึกษาโครงสร้างภาษีทั้งระบบ จะต้องพิจารณาการขยายฐานภาษี และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บ โดยปีงบประมาณ 2564 จะเป็นช่วงของการศึกษาโครงสร้างภาษีทั้งระบบ ยังเหลือเวลาศึกษาอีก 6 เดือน และจะมีการประเมินจัดเก็บรายได้ในเดือนมิถุนายน 2564 อีกครั้ง หลังจากครบกำหนดที่กรมสรรพากรได้ออกมาตรการบรรเทาภาระประชาชน จากผลกระทบการระบาดของโควิด-19 ด้วยการเลื่อนเวลาชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลที่จะสิ้นสุดมิถุนายน 2564 การจัดเก็บรายได้ตามต่ำกว่าเป้าหมายก็จะมีการประเมินในเรื่องดังกล่าวด้วย ส่วนการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ ทางกรมสรรพสามิต ยังไม่ได้เสนอโครงสร้างภาษีใหม่มาให้พิจารณา