ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
ความสัมพันธ์ไทย - จีน และ เศรษฐกิจเพื่อนบ้าน ย้อนกลับ
สี จิ้นผิง รับมือ โจ ไบเดน
14 ธ.ค. 2563

โลกของจีน : โดย ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ

สี จิ้นผิง รับมือ โจ ไบเดน

 

ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน น่าจะเป็นผู้นำโลกคนสุดท้ายที่ส่งข้อความแสดงความยินดีถึงว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา หลังจากมีความแน่ชัดว่า ไบเดนไม่เพียงโค่นคู่แข่งขันโดนัลด์ ทรัมป์ ลงได้สำเร็จ แต่จะเข้ารับตำแหน่งได้ตามกำหนดเวลาในต้นปีหน้า

ข้อความที่ส่งจากปักกิ่งถึงไบเดนคือ "การส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์อันดีและมั่นคงระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงแค่ตอบสนองผลประโยชน์พื้นฐานของประชาชนในสองประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นความคาดหวังร่วมกันของประชาคมระหว่างประเทศในด้านสันติภาพและพัฒนาการของโลกด้วย"

ไม่ต้องอธิบายให้มากความก็เป็นที่เข้าใจกันดีว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอเมริกาช่วง 4 ปี ในยุคทรัมป์ คือความตกต่ำที่ส่งผลกระทบต่อการค้าการลงทุนไม่ใช่แค่จีน-อเมริกา แต่ยังเป็นคลื่นสึนามิที่กระทบไปทั่วทั้งโลก ยิ่งในช่วงไวรัส COVID-19 ระบาด แล้วทรัมป์ใช้เป็นข้อกล่าวหาโจมตีจีนว่าเป็น “ต้นตอ” แพร่เชื้อจากแล็ปอู่ฮั่น ก็ยิ่งเป็นการบ่อนทำลายความสัมพันธ์ของสองมหาอำนาจลงต่ำสุด

การที่ สี จิ้นผิง แสดงท่าทีทอดไมตรีต่อเพื่อนเก่าไบเดนก็เพราะพอมองออกว่า แม้อเมริกาจะเปลี่ยนผู้นำจากต่างพรรคการเมือง แต่ยุทธศาสตร์ของอเมริกาก็ยังคงเดิมในด้านการรักษาบทบาทของความเป็นผู้นำโลก การพยายามลดทอนบทบาทของจีน ซึ่งอเมริกามองว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว หรือเป็นภัยต่อความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจและข้อมูลข่าวสารในระยะยาว

ดังนั้น ในขณะที่สี จิ้นผิง ยื่นมือให้อเมริกา เขาก็ผายมือไปทั่วโลกเพื่อเร่งเก็บคะแนนและหาพันธมิตรจากนานาชาติแบบไม่ปิดบังอเมริกาว่า จีนได้ก้าวพ้นช่วงวิกฤติในการต่อสู้กับCOVID-19 แล้ว และตอนนี้จีนคือผู้นำในเรื่องของการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโรคระบาดเพื่อกลับไปสู่การเติบโตในปีหน้า ขณะที่อเมริกาและนานาประเทศยังระบาดไม่หยุด  บางประเทศยังต้องล็อคดาวน์ หลายประเทศยังมองไม่เห็นก้นเหวของเศรษฐกิจ

นักวิชาการบางคนประเมินว่า จีนจะกลับมาเติบโตปีละ 6-8% ต่อเนื่องในระยะ 10 ปีข้างหน้า และขนาดเศรษฐกิจของจีนจะแซงอเมริกาสำเร็จอย่างชัดเจนภายใน 5 ปี นับจากนี้

กุญแจสำคัญคือแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 ของจีน (2021-2025)

สี จิ้นผิง กล่าวในหลายเวทีว่า ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป จีนจะเปิดศักราชใหม่แห่งการสร้างประเทศสังคมนิยมแบบทันสมัยอย่างรอบด้าน จีนจะเข้าสู่ช่วงการพัฒนาใหม่ เพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์และข้อเรียกร้องใหม่ 

 “เราเน้นโครงสร้างการพัฒนาใหม่ที่มีความหมุนเวียนภายในประเทศเป็นหลัก เป็นความหมุนเวียนภายในและนอกประเทศที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ความหมุนเวียนภายในประเทศที่ปิด แต่เป็นความหมุนเวียนภายในและนอกประเทศที่เปิดกว้างมากขึ้น ไม่เพียงแต่สนองความต้องการพัฒนาของจีนเองเท่านั้น หากยังจะสร้างความผาสุกให้กับประชาชนประเทศต่างๆ ด้วย”

จีนมีประชากร 1,400 ล้านคน กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางมีกว่า 400 ล้านคน เป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพมากที่สุดในโลก คาดว่าภายใน 1 ทศวรรษ ยอดการนำเข้าสินค้าจะมีมูลค่ากว่า 22 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติจีน (China International Import Expo, CIIE) ครั้งที่ 3 เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาซึ่งจีนเป็นเจ้าภาพ  สี จิ้นผิง กล่าวในพิธีเปิดตอนหนึ่งว่า การเกิดโรคระบาดครั้งร้ายแรงนี้ ได้เตือนให้พวกเราสำนึกว่า ทุกประเทศเป็นประชาคมที่มีชะตาร่วมกัน ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน เมื่อเผชิญหน้ากับวิกฤตมหันตภัยนี้ ไม่ว่าใครก็มิอาจคำนึงถึงแต่ตนเองได้

ความสามัคคีและร่วมมือกันเป็นทางเลือกที่แท้จริงในการรับมือกับความท้าทาย เราควรยืนหยัดแนวคิดความร่วมมือและได้ประโยชน์ด้วยกัน เชื่อถือกันไม่ใช่หวาดระแวงกัน จับมือกันไม่ใช่ควงหมัดใส่กัน หารือกันไม่ใช่ด่ากระทบกระเทียบกัน ถือประโยชน์ร่วมของประเทศทั้งหลายเป็นสิ่งสำคัญ ผลักดันกระแสโลกาภิวัตน์ให้พัฒนาไปในทิศทางที่เสรี ผนึกรวม เอื้อประโยชน์ถ้วนหน้า สมดุล และได้ประโยชน์อีกขั้น

ผู้นำจีนประกาศย้ำว่า “จีนจะยึดแนวคิดที่เปิดกว้าง ร่วมมือ สามัคคี และได้ชัยชนะร่วมกัน ยืนหยัดขยายการเปิดกว้างอย่างรอบด้าน เชื่อมโยงตลาดทั้งภายในและนอกประเทศ และแบ่งปันทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ตลาดจีนกลายเป็นตลาดทั่วโลก ตลาดที่ร่วมแบ่งปัน ตลาดของทุกคน ร่วมอัดฉีดพลังบวกแก่ประชาคมโลกให้มากขึ้น

สี จิ้นผิง กล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า จีนจะพิจารณาอย่างกระตือรือร้นในการเข้าร่วม CPTPP หรือ“ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าเพื่อหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก” (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership )

เป็นการสะท้อนจุดยืนของจีนที่เปิดกว้างเวทีการค้า พร้อมเข้าร่วมทุกเวที ทุกรูปแบบ  ทั้งทวิภาคี พหุภาคีและภูมิภาคในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น หรืออาจจะมองว่าเป็นการชิงนำก่อนที่โจ ไบเดน จะนำอเมริกากลับเข้ามามีบทบาทใน CPTPP ซึ่งของเดิมคือ TPP ( Trans-Pacific Partnership : ข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก)    ที่อเมริกาเริ่มต้นไว้แล้ว โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศถอนตัวเพราะมองว่าอเมริกาเสียเปรียบ

ก่อนหน้านั้นเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา จีนได้ร่วมลงนามใน “ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค” (Reginal Comprehensive Economic Partnership : RCEP) 15 ประเทศ คือ 10 ชาติอาเซียนกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งนับเป็นความตกลงการค้าเสรีหรือ เอฟทีเอ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก            นั้นคือเวทีความร่วมมือใหม่ๆ ที่จีนกำลังสร้างหรือเข้าไปมีบทบาท แต่ที่ทำมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2013 คือ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” Belt and Road Initiative : BRI แนวเขตเศรษฐกิจบนเส้นทางสายไหม และเส้นทางสายไหมทางทะเลในศตวรรษที่ 21 ซึ่งจีนได้ลงนามแล้วกับ 138 ประเทศและ 30 องค์กรระหว่างประเทศ

นี่คือปฏิมากรรมชิ้นเอกของจีนที่นับวันจะเป็นรูปเป็นร่างและเพิ่มอิทธิพลให้จีนมากขึ้นเรื่อยๆ จึงน่าติดตามว่าภายในวาระ 4 ปีของโจ ไบเดน จะกวนใจผู้นำอเมริกาขนาดไหน

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 เมษายน 2567
อปท.เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
27 ธ.ค. 2566
แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น ไม่เพียงต้องดูแลรักษาผู้ป่วยตามหลักการทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของผู้ป่วยอย่างแท้จริงอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่จะทำงานอาชีพนี้ ต้องมีหัวใจและอุดมการณ์ที่มีความเสียส...