โลกของจีน โดย ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ
คนจีนรุ่นใหม่ ถอดใจสู้ชีวิต
แต่ไหนแต่ไรเราเคยแต่ได้ยินว่า คนจีนตั้งแต่บรรพบุรุษล้วนเป็นคนที่สู้ชีวิต ปากกัดตีนถีบ หนักเอาเบาสู้ ไม่ย่อท้อ ไม่ว่าจะอดอยากยากจนแค่ไหนก็ล้วนแต่คิดเอาชีวิตรอด ล้วนแต่มุ่งมั่นสร้างฐานะ จึงมักได้เห็นคนจีนจากที่ไม่มีเงินทองสามารถเก็บหอมรอมริบยกฐานะตนเองจนเป็นผู้มีอันจะกิน หลายคนกลายเศรษฐีและมหาเศรษฐีติดอันดับโลก
เศรษฐีจีนในไทยและรุ่นลูกหลานที่ร่ำรวยได้ก็ล้วนหนีความยากจนจากจีนแผ่นใหญ่ใหญ่แบบ “เสื่อผืนหมอนใบ” มารับจ้างแบกหาม ใช้แรงงาน ใช้ประสบการณ์ แสวงหาโอกาสแล้วค่อยๆสั่งสมทุนจนร่ำรวย
ลักษณะนิสัยเช่นนี้ทำให้ประเทศจีนที่เคยเป็นชาติด้อยพัฒนา ด้อยเทคโนโลยี รายได้น้อย คุณภาพชีวิตต่ำ แต่กลับพัฒนาได้อย่างรวดเร็วในช่วงเวลาเพียงชั่วอายุคนจนสามารถแซงหน้าชาติที่พัฒนาแล้วทั้งตะวันออกและตะวันตก ขึ้นมาเคียงบ่าเคียงไหลชาติอุตสาหกรรมที่คุยโม้ว่าร่ำรวยเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้ก็เพราะชาวจีนที่คิดและทำในจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ “ก้าวให้พ้นความยากจน แสวงหาชีวิตที่ดีกว่า”
แต่ในช่วง 3 ปีที่จีนต้องล็อคดาวน์ประเทศจากเหตุเชื้อโควิด-19 แพร่ระบาด พรรคคอมมิวนิสต์ใช้นโยบาย Zero-COVID ในการบริหารจัดการประเทศโดยให้เหตุผลว่า “การรักษาชีวิตและสุขภาพของคนในประเทศสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด” แม้จะกระทบต่อการทำธุรกิจการค้าการลงทุนของชาวจีนและคนทั่วโลกก็ตาม
ไม่เพียงเท่านั้น Zero-COVID ยังส่งผลต่อความรู้สึกของเยาวชนจีน อาตี๋อาหมวยรุ่นใหม่ ที่ไม่ใช่กลุ่มที่แสดงความกล้าหาญลุกขึ้นมาประท้วงรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นในการล็อคดาวน์เมือง จนรัฐบาลต้องยอมลดความเข้มงวดในทุกพื้นที่และประกาศเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2023 แต่เป็นเยาวชนกลุ่มที่หมดไฟ หมดกำลังใจที่จะต่อสู้ดิ้นรนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า โดยมีคำเรียกความรู้สึกนี้และคนกลุ่มนี้ว่า “ป่ายล่าน” (Bailan) แปลว่า “ปล่อยให้เน่าไป”
ภาพรวมของคนกลุ่มนี้คือ เหน็ดเหนื่อยกับการใช้ชีวิตตั้งแต่เด็ก ถูกผู้ปกครองบังคับเคี่ยวเข็ญให้เรียนหนักเพื่อแข่งขันทำคะแนนดีๆเพื่อเรียนต่อในระดับสูง เมื่อจบมาแล้วก็ต้องแสวงหางานและแย่งชิงตำแหน่งงานที่มีน้อยนิดและค่าตอบแทนต่ำในช่วงโควิด เมื่อได้งานก็เจอกฎกติกาที่ต้องทำงานหนักต้องมีผลงานดีเพื่อรักษางานนั้นๆไว้
ความรู้สึกที่เหมือนกันของคนรุ่นนี้คือ “ภาระอันหนักอึ้ง” ที่ต้องแบกรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆในครอบครัว การต้องดูแลพ่อ-แม่ที่เกษียณอายุ หรืออาจจะรวมไปถึงปู่-ย่า และตา-ยาย ที่ล้วนแต่สุขภาพดีอายุยืน ที่แม้จะมีสวัสดิการจากภาครัฐแต่ก็ไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพที่สูงขึ้น ยิ่งหากมีคู่ชีวิต มีลูกตามมาอีกก็เท่ากับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
การมองโลกในแง่ร้ายเห็นแต่อนาคตที่มืดมน ยอมแพ้ต่อชะชาชีวิต สิ้นหวัง ท้อแท้ ไม่ต้องการความสำเร็จในชีวิต หันหลังให้กับเป้าหมายในชีวิตที่เคยตั้งไว้ ไม่อาจรับแรงกดดันทางสังคมที่เพิ่มขึ้นไม่สิ้นสุด ไม่ทะเยอทะยาน ละทิ้งความฝัน คือคำอธิบายของกลุ่ม “ไป่ล่าน” ที่หลายคนเชื่อว่ากำลังเพิ่มจำนวนขึ้นหากสถานการณ์ในจีนยังไม่ดีขึ้น
ก่อนเกิดโควิด-19 ระบาด ประเทศจีนกำลังรุ่งเรือง กำลังเร่งเครื่องจักรทุกด้านเพื่อชิงความเป็นหนึ่งของโลก คนจีนรุ่นใหม่มีความเชื่อมั่นในอนาคต มีเป้าหมายชีวิตที่สดใส จึงกล้ากิน กล้าใช้ กลายเป็นสังคมที่เน้นการบริโภค กินหรู อยู่สบาย เที่ยวต่างประเทศ
แต่โควิด-19 กับการปิดประเทศที่มาพร้อมนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ได้กดเศรษฐกิจจีนปี 2022 โตแค่ 3% ต่ำสุดในรอบกว่า 50ปี มีผลต่อความเชื่อมั่นและทำลายฝันของคนหลายสิบล้านคนในหมู่ประชากร 1,400 ล้านคน
ธุรกิจที่ต้องปิดกิจการเพราะค้าขายไม่ได้ ธุรกิจที่ต้องลดสาขา ลดการจ้างงาน ลดเงินเดือน ผลกระทบจากฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ ผลกระทบจากสถาบันการเงิน การจัดระเบียบสังคมครั้งใหม่คุมเข้มสถาบันกวดวิชา การตรวจสอบกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ฯลฯ ล้วนมีผลต่อการจ้างงานคนหนุ่มสาวที่กำลังไปได้ดี
ช่วงโควิด เด็กไทยจบใหม่ระดับอุดมศึกษามีอัตราว่างงานประมาณ 2.5 % บ้านเราถือว่าสูงแล้ว แต่ยังเทียบไม่ได้กับอัตราการว่างงานในจีนที่เคยสูงถึง 19 % ในกลุ่มเยาวชนจีนอายุ 16-24 ปี หรือคน Gen Z ที่เชื่อว่าจะเป็นผู้กำหนดทิศทางในอนาคตของชาติ
มองด้านสังคมวิทยา พรรคคอมมิวนิสต์จีนเคยใช้นโยบายคุมกำเนิดให้ครอบครัวมี “ลูกคนเดียว” เพื่อแก้ปัญหาความอดอยากยากจน ยุคสมัยหนึ่งได้ผลแต่กลายเป็นปัญหาโครงสร้างประชากรและปัญหาสังคมมาถึงปัจจุบัน ที่ครอบครัวส่วนใหญ่ยังคงมีลูกคนเดียว แล้วลูกคนเดียวต้องรับผิดชอบดูแลพ่อ-แม่, ปู่-ย่า, ตา-ยาย
คนจีนรุ่นใหม่จึงนิยมอยู่เป็นโสดมากกว่าแต่งงาน หรือหากแต่งงานก็ไม่อยากมีลูกให้เป็นภาระเพิ่ม
ช่วง 3 ปีที่ผจญโควิดกับมาตรการล็อคดาวน์ คู่ครองที่ต้องเลี้ยงลูกแบเบาะพร้อมๆกับผู้สูงอายุในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง คือสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธ คือแรงกดดันมหาศาล คืออาการเหนื่อยล้า หมดเรี่ยวแรง หมดไฟที่จะต่อสู้
ส่วนคนโสดที่มีภาระน้อยกว่าอาจจะเจอวัฒนธรรมทำงาน 9-9-6 ( ทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม ตลอด 6 วัน ) ซึ่งเมื่อก่อนถือว่าเป็นการทุ่มเทเพื่อผลผลิตของประเทศชาติ แต่ปัจจุบันเริ่มมีการต่อต้านว่าเป็นพิษต่อชีวิตและสุขภาพ คนรุ่นใหม่รู้สึกว่างานกับชีวิตไม่มีความสมดุล
รัฐบาลจีนที่ไวต่อความรู้สึกของประชาชน เข้าใจว่ากำลังมีความพยายามแก้ไข เพราะถ้าปล่อยให้ระบาดแบบเชื้อไวรัส ฝังเข้าไปในเซลส์สมองของคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ที่เป็นอนาคตของชาติ ก็จะกลายเป็นความเฉื่อยชาทางสังคมที่จะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจซึ่งรัฐบาลจีนกำลัง “จุดสตาร์ท” อีกครั้งในปีนี้