การเลือกตั้งเป็นกลไกพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยที่สะท้อนความชอบธรรมของอำนาจรัฐผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งการเลือกตั้งแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นสนามเล็ก สนามใหญ่ สิ่งที่ตามมาคือการใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อจัดการเลือกตั้ง ตั้งแต่การจัดหาบุคลากร เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง การผลิตเอกสาร สื่อประชาสัมพันธ์ ตลอดจนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และสิ่งที่คาดหวังตามมาก็คือจำนวนคนไปใช้สิทธิ์ที่บ่งบอกถึงการให้ความสำคัญต่อการเลือกตั้งที่แลกมาด้วยงบประมาณมหาศาล สำหรับการเลือกตั้งระดับชาติในปี 2566 ที่ผ่านมา มีการใช้งบประมาณไปกว่า 5,945 ล้านบาท และการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด การเลือกตั้งเทศบาล ซึ่งก็มีตัวเลขงบประมาณที่ใช้เพื่อการจัดการเลือกตั้งที่มีมูลค่ารวมประมาณ 3,500 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมทุกกระบวนการของการจัดการเลือกตั้ง โดยงบประมาณที่ใช้ในการเลือกตั้งท้องถิ่นของไทยถูกจัดสรรจากส่วนกลางซึ่งแตกต่างกันไปแต่ละพื้นที่ เช่น ในปี 2567 อบจ. ปทุมธานีใช้งบประมาณ 79 ล้านบาท แต่ในปี 2568 งบเพิ่มขึ้นเป็น 89 ล้านบาท เป็นการเพิ่มงบประมาณอีกเท่าตัว และหากในกรณีที่มีการลาออกของผู้บริหารท้องถิ่นก่อนกำหนด ก็จะนำไปสู่การเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายและงบประมาณที่ซ้ำซ้อนในหลายพื้นที่ และหากดูตัวเลขผู้ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งท้องถิ่นครั้งล่าสุดคือ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ปี 2568 พบว่ามีอัตราการใช้สิทธิ์ร้อยละ 58.45 เท่านั้น จากตัวเลขของผู้ออกไปใช้สิทธิ์การเลือกตั้งกับตัวเลขงบประมาณที่ใช้ไปกับการเลือกตั้งในแต่ละครั้ง อาจถึงเวลาแล้วที่ไทยต้องทบทวนแนวคิดเรื่องการจัดเลือกตั้งระดับชาติกับท้องถิ่นพร้อมกัน ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้มีผู้มีสิทธิ์ออกมาเลือกตั้งมากขึ้นเพื่อให้เกิดการใช้เงินภาษีอย่างคุ้มค่าที่สุด และเป็นการแก้ปัญหานักการเมืองท้องถิ่นลาออกก่อนกำหนด อีกทั้งอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้การเมืองท้องถิ่นไทยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
อย่างไรก็ดี มีตัวอย่างของต่างประเทศที่มีการจัดการเลือกตั้งพร้อมกัน อย่างเช่นอินโดนีเซีย ประเทศที่ได้ชื่อว่ามีการกระจายอำนาจที่ก้าวหน้าที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การกระจายอำนาจได้กลายเป็นกลไกหนึ่งที่ทำให้เกิดการปฏิรูปการเมืองขนานใหญ่ของประเทศ โดยได้เริ่มดำเนินการปฏิรูปการกระจายอำนาจอย่างจริงจังหลังปี 1998 จุดเริ่มต้นการกระจายอำนาจของอินโดนีเซียโดยการประกาศใช้กฎหมายสำคัญ 2 ฉบับ คือ กฎหมายที่ 22/1999 ว่าด้วยการกระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่น (Undang-undang Nomor 22 tahun 1999 tentang Pemerintahan Daerah) และกฎหมายที่ 25/1999 ว่าด้วยการจัดสรรงบประมาณระหว่างส่วนกลางและท้องถิ่น (Perimbangan Keuangan antara Pemerintah Pusat dan Daerah) ทำให้ประชาชนมีสิทธิ์เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายกเทศมนตรี และหัวหน้าท้องถิ่นโดยตรงทั่วประเทศ ภายใต้กรอบกฎหมายที่มอบอำนาจด้านงบประมาณ การพัฒนา และการบริการสาธารณะให้กับรัฐบาลท้องถิ่นอย่างชัดเจน และจากการจัดการการเลือกตั้งพร้อมกันทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่น ในปี 2005 (2548) และ 2019 (2562) ด้วยเหตุผลของการประหยัดงบประมาณ ถึงแม้ว่าการเลือกตั้งในปี 2019 (2562) งบประมาณจะเพิ่มสูงขึ้นจาก 9.49 ล้านล้านรูเปียห์ (ประมาณ 21.83 พันล้านบาทไทย) แต่เมื่อพิจารณาในภาพรวมจะพบว่าการจัดการเลือกตั้งแยกกันอาจต้องใช้งบประมาณที่สูงกว่านี้ ซึ่งการเลือกตั้งพร้อมกันอาจไม่ได้เป็นการลดงบประมาณโดยตรง แต่เป็นการลดค่าใช้จ่ายรวมในเชิงโครงสร้างและระยะเวลา อีกทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการเลือกตั้ง ที่สำคัญที่สุดคือการกระตุ้นความตื่นตัวทางการเมืองของประชาชน อีกทั้งเป็นการหลีกเลี่ยงความเบื่อหน่ายของประชาชนต่อการเลือกตั้งบ่อยครั้ง จากบทเรียนของอินโดนีเซีย จะเห็นว่า การใช้งบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพต้องควบคู่กับการมอบอำนาจอย่างแท้จริงแก่ท้องถิ่น ทั้งในด้านนโยบายและการบริหาร การจัดสรรงบประมาณไม่ควรเป็นเพียงเรื่องเชิงปฏิบัติการ แต่ควรเป็นเครื่องมือในการสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างความเปลี่ยนเชิงโครงสร้างของการเมืองระดับท้องถิ่นของไทย
อ้างอิง : The 101 World. (2024). การเลือกตั้งท้องถิ่นของอินโดนีเซีย. สืบค้นจาก https://www.the101.world/indonesia-election-nuttakorn/
Mietzner, M. (2013). Money, power, and ideology: Political parties in post-authoritarian Indonesia. NUS Press.
BBC News ไทย. (2019, เมษายน 15). เลือกตั้งอินโดนีเซีย 2019: 5 เรื่องน่ารู้ของการเลือกตั้งวันเดียว "ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์โลก". สืบค้นจาก https://www.bbc.com/thai/international-47895213
The Active ThaiPBS. เลือก อบจ.68 : งบฯ 3.5 พันล้าน บนความหวังคนใช้สิทธิ์ 65%. สืบค้นจาก https://theactive.thaipbs.or.th/data/election-budget?utm_source
คอลัมน์ : รอบรั้วสถาบันพระปกเกล้า โดย : ศูนย์สื่อสารองค์กร
เขียนโดย นางสาวอัจจิมา แสงรัตน์
นักวิชาการ สำนักส่งเสริมวิชาการรัฐสภา สถาบันพระปกเกล้า