ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
คอลัมนิสต์ประจำอปท.นิวส์ ย้อนกลับ
ใครสนใจเรื่อง ประวัติโดยสังเขปของความเป็นมาของสงฆ์ 2 นิกายในไทย
20 ม.ค. 2559

ก็อ่านดูนะ เป็นความรู้

@อย่าก่อสังฆเภท@

คณะสงฆ์เถรวาทในประเทศไทยแต่เดิมเป็นเอกภาพหนึ่งเดียวกัน  ต่อมาในยุคต้นรัตนโกสินทร์เมื่อได้เกิด “ธรรมยุติกนิกาย” ขึ้นแยกจากคณะสงฆ์เดิม  คณะสงฆ์ไทยแต่เดิมจึงเรียกว่า  “มหานิกาย”

>>ในประเทศศรีลังกาและกัมพูชามีคณะสงฆ์เถรวาทหลายนิกาย  แต่ละนิกายก็มีพระสังฆราชของตนเองปกครอง  เป็นไปตามหลักพระธรรมวินัยที่พระภิกษุนานาสังวาสจะไม่ทำสังฆกรรมร่วมกัน  แต่ในประเทศไทยคงปกครองร่วมกันเพื่อความสามัคคี 

<< ปัจจุบัน >>

  คณะสงฆ์มหานิกายมีวัด  31,890  แห่ง  พระภิกษุ  256,826  รูป

  คณะสงฆ์ธรรมยุติ  มีวัด  1,987  แห่ง พระภิกษุ  33,189  รูป

  โดยเฉลี่ยสัดส่วนของวัดและพระภิกษุของมหานิกายต่อธรรมยุติประมาณ  10:1 

>>เนื่องจากคณะสงฆ์ธรรมยุติถือกำเนิดโดยรัชกาลที่  4  จึงมีความใกล้ชิดกับพระราชวงศ์  และมีสิทธิ์พิเศษหลายอย่าง  เช่น  สมัยที่ยังมีเจ้าคณะภาค  เจ้าคณะจังหวัด  เจ้าคณะอำเภอ   เจ้าคณะตำบล  ตำแหน่งละ  1  รูป  หากเจ้าคณะเหล่านี้เป็นพระภิกษุธรรมยุติจะปกครองวัดมหานิกายในพื้นที่นั้นๆได้  แต่หากเจ้าคณะพื้นที่ใดเป็นพระภิกษุมหานิกาย  ห้ามปกครองวัดธรรมยุติ  ให้ปกครองแต่พระภิกษุและวัดมหานิกายเท่านั้น  ส่วนวัดธรรมยุติจะไปขึ้นตรงกับเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติที่กรุงเทพฯ

>>การถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมนี้สร้างความอึดอัดแก่คณะสงฆ์มหานิกาย แต่ก็กล้ำกลืนฝืนทน  และมาถูกจุดระเบิดขึ้นเมื่อพ.ศ.2494

>> ในขณะนั้น  การปกครองคณะสงฆ์ไทยเป็นไปตามพรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2484  ซึ่งกำหนดให้สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งสังฆนายกคล้ายนายกรัฐมนตรีของสงฆ์  แล้วสังฆนายกแต่งตั้งสังฆมนตรีว่าการองค์การต่างๆ 

>>ในพ.ศ.2494  ตำแหน่งสังฆนายกว่างลง  สมเด็จพระสังฆราช  กรมหลวงวชิรญาณวงศ์  วัดบวรนิเวศวิหาร  แทนที่จะแต่งตั้งสมเด็จปลด  วัดเบญจมบพิตรพระมหาเถระฝ่ายมหานิกาย  ซึ่งมีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์  แต่กลับทรงมีพระบัญชาตั้งพระศาสนโสภณ  ซึ่งเป็นพระธรรมยุติด้วยกันเป็นสังฆนายก

>>พระราชาคณะ  47  รูป  ฝ่ายมหานิกายจึงได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงสมเด็จพระสังฆราช  คัดค้านพระบัญชาดังกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว  ส่งผลให้พระศาสนโสภณลาออกจากตำแหน่งสังฆนายก  และสมเด็จพระสังฆราชได้นิมนต์พระเถระฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติประชุมร่วมกัน  ณ  ตำหนักเพชร  วัดบวรนิเวศ  เมื่อวันที่  12  กรกฎาคม  พ.ศ.2494  มีข้อตกลงร่วมกันคือ

__1. การปกครองส่วนกลาง  คงบริหารร่วมกัน  แต่การปกครองบังคับบัญชาให้เป็นไปตามนิกาย

__2.การปกครองส่วนภูมิภาคให้แยกไปตามนิกาย

>>ข้อตกลงนี้เรียกว่า  __“ข้อตกลงตำหนักเพชร 2494”__ ซึ่งรัฐบาลได้รับรองอย่างเป็นทางการด้วย

>>ผลจาก__ข้อตกลงตำหนักเพชร__ทำให้มีตำแหน่งเจ้าคณะภาค  เจ้าคณะจังหวัด  เจ้าคณะอำเภอ  เจ้าคณะตำบล  ตำแหน่งละ  2  รูป  เป็นของพระภิกษุมหานิกายและธรรมยุต แยกขาดจากกัน

จากนั้นสมเด็จพระสังฆราช  ก็ได้มีพระบัญชาแต่งตั้งสมเด็จปลด วัดเบญจมบพิตร  เป็นสังฆนายก

>>ปัจจุบันการปกครองคณะสงฆ์ตาม พรบ.คณะสงฆ์  2505  แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 กำหนดให้มหาเถรสมาคมเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์  มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานกรรมการ   และมีกรรมการมหาเถรสมาคมฝ่ายมหานิกายและธรรมยุต  ฝ่ายละ 10 รูป  รวมเป็น 21 รูป

>>คณะสงฆ์มหานิกายมีมากกว่าคณะสงฆ์ธรรมยุติถึง 8:1 การกำหนดให้มีจำนวนกรรมการมหาเถรสมาคมเท่ากัน  ไม่ยุติธรรม  แต่คณะสงฆ์มหานิกายก็ยอมรับ  เพราะเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของคณะสงฆ์และชาติบ้านเมือง

>>เมื่อดูการดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช  ก็พบว่า  ตั้งแต่ พ.ศ.2453 ถึงปัจจุบัน  มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติรวมระยะเวลา  89 ปี เป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกายรวมระยะเวลา 14 ปี

>>เมื่อพระมหาเถระฝ่ายธรรมยุติได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชอย่างยาวนาน  คณะสงฆ์มหานิกายก็ไม่เคยคัดค้าน

>> แต่บัดนี้เมื่อสมเด็จพระญาณสังวรฯสมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์  ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง  มหาเถรสมาคมได้มีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559   เสนอนามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์  วัดปากน้ำ  ภาษีเจริญซึ่งเป็นพระมหาเถระฝ่ายมหานิกายและมีอาวุโสสูงสุดทั้งโดยสมณศักดิ์และโดยพรรษาในบรรดาสมเด็จฯที่ยังปฏิบัติหน้าที่ได้  เป็นสมเด็จพระสังฆราช

>>คณะสงฆ์โดยรวมไม่มีปัญหา  สมเด็จพระวันรัต  วัดบวรนิเวศวิหาร  เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติเป็นผู้เสนอนามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ต่อที่ประชุมเองด้วยซ้ำไป  กรรมการมหาเถรสมาคม  ทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นพ้องต้องกัน   สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เป็นปูชนียะที่คณะสงฆ์มหานิกายทั่วประเทศให้ความเคารพเป็นอย่างสูง 

ถ้าทำตามกฎหมายก็ไม่มีปัญหา  แต่ปัญหาเกิดเพราะมีกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีจะตะแบงเอาตามใจตัวเอง  เรื่องการปกครองคณะสงฆ์  ไม่ฟังมติมหาเถรสมาคมแล้วจะฟังใคร 

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 เมษายน 2567
อปท.เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
27 ธ.ค. 2566
แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น ไม่เพียงต้องดูแลรักษาผู้ป่วยตามหลักการทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของผู้ป่วยอย่างแท้จริงอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่จะทำงานอาชีพนี้ ต้องมีหัวใจและอุดมการณ์ที่มีความเสียส...