การเลือกตั้งนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) ลำสุดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ถือเป็นการเลือกตั้ง ท้องถิ่นทั่วประเทศตามวาระครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง แม้จะมีเพียง 47 จังหวัดเท่านั้น เนื่องจากมีการ ลาออกก่อนกำหนดไปก่อนหน้านี้หลายจังหวัด อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้มีความ น่าสนใจอยู่ไม่น้อย แม้จะกล่าวได้ว่า บุคคล ในเครือข่ายที่เรียกกันว่า "บ้านใหญ่" ได้รับการ เลือกตั้งเข้ามาอย่างมาก แต่ก็มีบางแห่ง บาง จังหวัด กลับเป็น "ม้ามืด" วิ่งเข้าเส้นชัยไปได้ อย่างคาดไม่ถึง ทั้งนี้ หนึ่งในจำนวน "ม้ามืด" ที่ว่านี้เห็นจะไม่มี ใครเกินไปกว่าที่จังหวัดสงขลา จังหวัดใหญ่ที่ฐาน การเมืองมักจะอยู่ในแวดวงของกลุ่มนักการเมือง หัวกะทิมาตลอด แต่ครั้งนี้กลับพลิกไปได้อย่าง คาดไม่ถึง
โดย "ม้ามืด" ที่เราจะพาท่านผู้อ่าน ไปรู้จักกันในฉบับนี้ก็คือ "สุพิศ พิทักษธรรม" อดีต อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ที่ตัดสินใจ ลาออกจากตำแหน่งเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งทั้งๆ ที่ ยังมีอายุราชการเหลืออีก 1 ปี
และหากมองย้อนกลับไป "สุพิศ" ถือเป็น ข้าราชการลูกหม้อของกรมชลประทานมาก่อน ไต่ เต้ามาด้วยความสามารถตั้งแต่ซี 1 จนถึง ซี 10 จาก ผู้อำนวยการสำนักเครื่องจักรกล กรมชลฯ ก้าวไป นั่งรองอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร จน ได้เลื่อนขึ้นมาเป็นอธิบดีกรมฝนหลวงฯ ในท้ายสุด
นายก สุพิศ เริ่มเปิดใจกับ อปท.นิวส์ว่า ปัจจุบัน อายุจะครบ 60ปีในวันที่ 4 สิงหาคมนี้โดยเกิดเมื่อ วันที่ 4 สิงหาคม 2508 เป็นคนสงขลาโดยกำเนิด คือเกิดที่ หมู่ที่ 1 ตำบลม่วงงงาม อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา คุณพ่อประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป เป็นช่างประจำบ้านบ้าง ทำงางานเกษตรบ้าง ส่วนแม่ ก็จะแป็นแม่บ้านเริ่มการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษา 1-4 ที่โรงเรียนวัดปะโอ ตำบลม่วงงาม อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา แล้วมาต่อประถมฯ5-6 ที่โรงเรียนวัดหนองหอย บ้านหนองหอย ตำบลวัดขนุน อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ส่วนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึง 3 มาเรียนที่ โรงเรียนแจ้งวิทยา อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา
นายก สุพิศ ยอมรับว่า ชีวิตในวัยเด็กลำบาก มาก อาหารการกินก็ต้องแบ่งกันกินกับพี่ๆ น้องๆ รวมตัวเราด้วย 6 คน ผู้ชาย 2 ผู้หญิง 4 โดยเป็นพี่ ชายคนรองได้เงินไปโรงเรียนวันละ 5 บาท การไป เรียนก็ต้องตื่นแต่เช้ามืดไม่เกิน 6 โมงครึ่ง เพื่อมาขึ้น รถรับจ้างประจำทางให้ทัน เพราะโรงเรียนอยู่โกล ออกไปกว่า 20 กิโลเมตร อย่างที่โรงเรียนแจ้งวิทยา อำเภอเมืองสงขลา ก็ต้องมาข้ามแพขนานยนต์ด้วย หลังจากจบมัธยมฯ 3 ก็ไปต่อสายอาชีวะที่เทคนิค ปัตตานี สาขาช่างยนต์ จากปี 2524 ถึง 2527 ก็ จบวุฒิ ปวช. แล้วก็ต้องมาหยุดเรียนไป 1 ปี เพื่อ ให้น้องได้เรียน จากนั้นก็มาสอบเข้าเทศนิคสงขลา ในระดับ ปวส. ในสาขาเดียวกันคือช่างยนต์ เรียน ได้ 1 ปี อย่างไรก็ตาม เป็นคนที่ชอบเล่นกีฬาโดย เฉพาะฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก
"ผมจบแค่ ปวส.1 คือเรียนไปได้ปีเดียว ก.พ.ก็เปิดสอบ ความที่อยากเลี้ยงตัวเอง มีงานทำ หาเงินได้ด้วยตัวเอง ตังค์ก็ไม่ค่อยมี เมื่อมีโอกาสก็ เลยเลยเดินทางเข้ามาสมัครสอบ ก.พ.ที่กรุงเทพฯ ก็เอาวุฒิ ปวช.ไปสอบ เข้ามาสอบที่กรุงเทพฯ ก็ไปอยู่วัดบ้าง คือที่วัดราชาฯ แล้วก็บ้าน เพื่อนบ้าง ก็สอบทีเดียวก็ติดเลย ก็ได้มาบรรจุ อยู่ที่กรมชลประทานในปี 2531 ซึ่งจริงๆ ตอมนั้น ก็ไม่รู้จักกรมชลฯ เลย ยังสงสัยอยู่เลยว่า ช่างยนต์ ไปเกี่ยวอะไรกับกรมชลฯ แล้วกรมชลฯ ต้องทำ อะไรบ้าง คือตอนนั้นไม่รู้จริงๆ"
นายกสุพิศบอกต่อไปว่าการเข้ามาอยู่ที่กรมชลฯ เริ่มแรกทำงานก็อยู่ที่ส่วนกลางกรุงเทพฯ ใน กองวิศวกรรมที่ปากเกร็ดก่อนประมาณ 6 เดือน แล้วจึงถูกย้ายลงมาประจำที่หาดใหญ่ สงขลา ก็ถือว่าได้กลับบ้าน และก็ทำงานอยู่ที่สงขลายาว เลยตั้งแต่ปี 2534-2559 กว่า 30 ปี อย่างไรก็ตาม ระหว่างมาเริ่มทำงานที่สงขลา ก็เริ่มขยับมาเรียนต่อ เรียนเพิ่ม โดยใช้เวลาในช่วงตอนเย็นบ้าง วันหยุดเสาร์-อาทิตย์บ้าง จนมาจบปริญญาตรี ที่เทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย คณะวิศวกรรม เครื่องกล แล้วก็มาต่อปริญญาโท รัฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
"ตำแหน่งสุดท้ายที่สงขลาก็คือ ผู้อำนวยการ ศูนย์เครื่องจักรกลที่ 7 ดูแลภาคใต้ตอนล่าง ทั้งหมด แล้วก็มาย้ายเข้าส่วนกลางเมื่อปี 2559 มาเป็นผู้อำนวยการสำนักเครื่องจักรกล เป็นอยู่ 5 ปี จนมาในปี 2565 ก็ย้ายมาเป็นรองอธิบดี กรมฝนหลวงและการเกษตร และในปี 2566 ก็ขึ้นมาเป็นอธิบดีกรมฝนหลวงฯ ก็เป็นอธิบดี กรมฝนหลวงฯ อยู่ 2 ปีงบประมาณ ก็ตัดสินใจ ลาออกมาลงสมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ. สงขลา"
ต่อข้อถามว่า นึกอย่างไรหรือตั้งใจอย่างไรถึงได้ ลาออกมาลงเลือกตั้งนายก อบจ. ทั้งที่ก็เหลือเวลา อีกไม่นานนักก็จะเกษียณแล้ว นายก สุพิศ เปิดใจ ว่า มีอยู่ 2 ประเด็นใหญ่ๆ ประเด็นที่ 1 จากที่เรา ได้ทำงานมาทั้งชีวิต มีประสบการณ์ทั้งเรื่องการ บริหารคน เรื่องการบริหารงบประมาณ เรื่องการ บริหารแผนงาน เรื่องการบริหารตำงๆ เราคิดว่า ถ้าเราทำให้สงขลาได้ในหลักคิดหรือวิธีการของเราผมคิดว่าผมทำให้สงขลาเจริญรุ่งเรืองได้ ทำให้ สงชลาเปลี่ยนได้ แล้วก็ต้องเปลี่ยนให้ยั่งยืน
"คือผมคิดอย่างนี้นะ คือเราไม่ได้ไปว่า หรือ ตำหนิอะไรใครนะ แต่ที่เขาเป็นมาแล้ว บริหาร มาแล้ว ไม่น่าจะใช่ ถ้าใช่สงขลาไม่อยู่อย่างนี้ ควรเจริญกว่านี้ ควรจะมีวัฒนธรรมอะไรที่ดีๆ วัฒนธรรมในองค์กร วิธีคิดเรื่องงบประมาณการ สร้างสมดุลงบประมาณ การสร้างสมดุลและ ทุกอย่าง สร้างแผนงานที่เป็นรูปธรรม การพัฒนา แต่ละด้าน ด้านเกษตร ด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมต่างๆ น่าจะเปลี่ยนได้ดีกว่านี้ แล้วผมคิดว่าไม่รู้จะต้องไปคอยใคร นอกจากต้องลงมือทำ ด้วยตัวเองดีกว่า ต้องทำด้วยมือตัวเอง คือถ้าไป หวังพึ่งมือคนอื่น ผมคิดว่าไม่น่าจะสำเร็จ"
นายก สุพิศ บอกต่ออีกว่า ถ้าเราคิดเหมือน ข้าราชการคนอื่นๆ เกษียณแล้วขอพักผ่อน อย่างนั้น ไม่ได้ หรือเราจะมานั่งรังเกียจการเมืองท้องถิ่นก็ไม่ได้ เราไม่ใช่ประเภทคนเห็นแก่ตัว เพราะว่า วิถีชีวิต คนไม่เหมือนกัน เราอยากจะทำอะไรเพื่อบ้านเกิด ถ้าเราทำสำเร็จ ลูกเรา หลานเรา เหลนเรา จะได้ จารึกในแผ่นดินนี้ว่า เรื่องนี้สำเร็จเพราะปู่เรา เพราะตาเรา ขณะที่คนอื่นบ้างคนเขาอาจไม่อยาก วุ่นวายไม่อยากโดนขุดคุ้ยไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับ วงจรอุบาทว์ ไม่อยากลงมาเสี่ยง
ส่วนคนที่ไม่อยากได้ของใครไม่อยากทำร้ายใคร ไม่ตำหนิใคร ไม่มีอะไรกับใครทั้งนั้น แต่ว่าอุทิศตน และยอมเสียสละตัวเอง ยอมให้โดนขุดคัย ยอมให้ สังคมตั้งคำถามในใจ แต่เขามุ่งมั่นใจว่า เขาไม่อยาก ได้ผลประโยชน์จาก อบจ. หรือจากภาษีของคน สงขลางขาอยากให้อย่างเดียว คิดว่าไม่มีนอกจากผม นักการเมืองท้องถิ่น นักการเมืองระดับชาติ คนในสงขลาเป็นรัฐมนตรี เป็นรองนายกฯ มีมาหมดแล้ว แต่ผมคิดว่าคนประเภทนั้นไม่เหมือนผม
"ผมจัดกีฬาเพื่อจังหวัดสงขลา จัดกีฬาเพื่อ การกุศลมาเป็น 10 ครั้ง 100 ครั้ง ผมไม่เคย เอารายได้ที่จากการจัดมวยหรือจัดกีฬาต่างๆ มาเข้ากระเป้าตัวเองแม้แต่สลึงเดียว ไม่มีใครรู้ แต่ผมรู้ ผมสร้างโรงเรียน สร้างวัด สร้างสิ่งสา ธาณะ 100% แถมเอาเงินส่วนตัวไปทำอีก ผม ถามว่านักการเมือง รัฐมนตรี ทุกอย่าง สส.ใน สงขลา มีใครทำแบบผมมั้ย ไม่มีแม้แต่คนเดียว นักการเมืองสงขลาเป็นระดับชาติ ถ้าไม่ทำ เพื่อตัวเองและชื่อเสียงหรืออำนาจ"
เราเป็นระดับข้าราชการ ซี 6, ซี 7, ซี 8 เห็น นักการเมือง เห็นรัฐมนตรีลงมาดูสงขลา ทุกคน โค้งคำนับ แต่คนที่ได้รับเกียรติจากข้าราชการ ระดับเราไม่เคยสำนึกอะไรเลย เรารับไม่ได้ ไม่ต้อง มาให้อะไร เป็นคนดีเราช่วย ตัวอย่างเช่น ผมฝาก เด็กเข้าโรงเรียน เข้ามหาวิทยาลัยมาเยอะ ผมไม่ เคยไปทนงตัวเองว่าต้องเอาของฝากมาให้ เราไม่ เคยอยากได้ และเราไม่เคยบอกใครว่า เราอยากได้ และเอามาให้เราก็บอกไม่ต้องเอามาให้เรา
ต่อข้อถามว่า การต่อสู้ การใช้กลยุทธ์ในการลง เลือกตั้ง นายก อบจ.สงขลาที่ผ่านมา เป็นอย่างไร บ้าง นายก สุพิศ บอกว่า ผมนั่งวิเคราะห์อยู่ทุก พรรค แล้วมาวิเคราะห์ตัวบุคคลที่จะมาแข่ง มีนาย เอ นายบี นายซี เอลงเพื่ออะไร แล้วใครสนับสนุน แล้วต้นทุนในทางสังคมมีมากน้อยแค่ไหน ผม วิเคราะห์หมด เพราะผมวิเคราะห์แล้ว ผมก็มา วางแผนในส่วนตัวผมว่า นายเอ เขามีอะไรดีบ้างใน เขตอำเภอนี้ ตำบลนี้ มาเปรียบเทียบ อยู่ในโลกแห่ง ความเป็นจริงไม่ใช่หลงตัวเองนะ ถ้าตำบลนี้เขากับ เราใครเด็ดกว่า ต้องทำการบ้าน เราเอาตัวเราเทียบ กับคู่แข่ง ฐานเสียงเป็นอย่างไร ดีเด่นอย่างไร แต่ไม่ แข่งเรื่องเงินนะ เพราะผมไม่มี
ผมจะไม่มีต้นทุนเรื่องนี้ ก็ไม่มีเรื่องต้องเข้าไป ถอนทุน มันไม่ดีไม่งาม ไม่ถูกต้อง ผมนั่งคิดหลาย หลัก หลักที่ 1 ต้นทุนในเรื่องของฐานเสียง ต้นทุน ในเรื่องของปัจจัยในการที่จะไปทำป้ายทำอะไร ผม วิเคราะห์หมดทุกมิติ และเป็นการเลือก อบจ.ครั้ง แรกในสงขลาที่ไม่มีการซื้อเสียง เพราะคนที่ชนะ ไม่มีซื้อเสียงแม้แต่เสียงเดียว คือวิเคราะห์ตั้งแต่ หมู่บ้าน จนมาถึงอำเภอ สมมุติอำเภอระโนด มี ทั้งหมด 10 ตำบล ตำบลที่ 1 มีใคร เป็นแกน แล้ว เรากับแกนเขาคิดอย่างไร ใครเป็นกำนัน ใครเป็น นายก เขาศรัทธาเราไหม แล้วก็ในพื้นที่นี้เรามี ญาติพี่น้องกี่คน คิดหมด มีเพื่อนกี่คน แล้วมาตั้ง เป็นโจทย์
นอกจากนี้ จากที่เราเคยรับราชการอยู่ที่นี่ มากว่า 30 ปี ก็ทำประโยชน์ไว้เยอะ อันนี้ก็เป็น ประโยชน์ไม่น้อยกว่า 50% แล้วคนสงชลาเป็นคนที่ ชอบการเมือง เป็นคนที่สนใจการเมือง เป็นคนที่เก่ง การเมือง เป็นคนฉลาด เพราะฉะนั้น เมื่อบวกกับที เรามีต้นทุนดี แล้วเขาก็คิดว่าเราน่าจะดีที่สุด เพราะ โปรไฟล์ แต่เป็นผู้บริหารและเป็นผู้ปฏิบัติและเป็น ทุกอย่างก็เป็นมาหมด ผลึกประสบการณ์ ผลีก ความรู้ ผลึกของประสบการณ์ทำงาน อันนี้ 100% คนสงขลารู้ จึงปฏิเสธเรายาก
ต่อข้อถามว่า หลังได้รับตำแหน่งมาแล้วตอน นี้เป็นอย่างไรบ้าง แตกต่างจากตอนเป็นเจ้าหน้าที่ กรมชลฯ อย่างไร นายก สุพิศ บอกว่า คือตอนเราอยู่ ในส่วนราชการภูมิภาคหรือส่วนราชการนั้น เราดู นาย แค่ลำดับชั้นถัดจากเราไป 2-3 ชั้น เช่น สมมติว่า เราเป็นผู้อำนวยการสำนัก เราก็ดูรองอธิบดี เราก็แคร์ ความรู้สึกรองอธิบดีกับอธิบดี สองคนนี้ถูกใจมั้ย แต่ เมื่อเรามาาเป็นนายก อบจ.นี่ เราต้องแคร์ความรู้สึก คนที่เลือกเรามาเกือบ 3 แสนเสียง ส่วนต่างอันที่ สองเวลาทำงานเป็นผู้บริหารของทบวงกรมนี่ เราต้องดูทั้งประเทศ บริหารทั้งประเทศ ไม่ก็ไม่ยาก แต่ก็เห็นเป็นหลวมๆ ไม่เป็นเนื้อเป็นหนัง แต่พอเรา มาบริหารบ้านเกิดเราในสงขลา เราทำได้เต็มที่ และ เป็นความท้าทาย เป็นความสุข มันสนุก ถ้าเราทำ สำเร็จ เราทำได้ นี่คือสิ่งที่เราคิดที่ไม่ใช่มูลค่าของผล ประโยชน์ แต่เป็นมูลค่าของความมุ่งมั่นตั้งใจ และ เป็นมูลค่าของความที่ชาวบ้านคนอื่นได้ประโยชน์ 100% จึงเป็นความท้าทาย
ต่อข้อถามว่า ได้มานั่งบริหาร อบจ.สงขลา มา 4 เดือนแล้ว ได้ทำอะไรไปบ้าง นายก สุพิศ บอกว่า ก็เรื่องรถสาธารณะที่จะทำให้เป็นรถ EV ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรถขนส่งสาธารณะประจำทาง รถสาธารณะรับส่งนักเรียน รถสาธารณะรับส่ง ผู้ป่วย รถสาธารณะฉุกเฉิน หรือรถสาธารณะที่ใช้ใน ภารกิจของส่วนราชการของ อบจ..ทั้งจังหวัด เพราะ ทั้งปลอดภัย ทั้งลดต้นทุนการดำรงชีวิตของพี่น้อง คนสงขลา ค่าเดินทางจะถูกลงเกือบครึ่ง ที่สำคัญ คือทันสมัย ลดมลภาวะ ลดโลกร้อน เรื่องนี้ก็คุย กับขนส่งจังหวัดเรียบร้อยแล้ว เขาก็คิดเหมือนกัน คือเขาก็คิดว่าเราเป็นที่พึ่งเขาได้เลยในเรื่องนี้ เขาก็ ต้องการทำเหมือนกัน คาดว่าปลายปีนี้น่าจะสำเร็จ นอกจากนี้ ที่ดำเนินการไปแล้วก็มี ศูนย์เพาะเลี้ยง สัตว์น้ำ อควาเรียม ที่ค้างคามานาน แล้วก็จะมีเรื่อง กีฬา ในรูปแบบการแข่งกีฬาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้สงขลาเป็นเมือง สปอร์ต ซิตี้ เรื่องนี้ก็ทำไป เยอะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว แล้วก็มีเรื่องผู้สูงอายุ เรื่อง รพ.สต. เรื่องขยะ ก็เริ่มทำไปเยอะแล้วเช่นกัน แล้ว ก็ยังมีอีกหลายเรื่อง ที่อยู่ใน 35 พันธกิจ
สำหรับหลักปรัชญาทั้งในด้านการทำงานและ การดำรงชีวิตนะ นายก สุพิศ บอกว่า "หลักของผม ก็มีอยู่คือต้องอยู่ในโลกแห่งความจริง อยู่ใน เรื่องจริงทุกอย่าง อย่าไปเอาอารมณ์ความรู้สึก มาเป็นตัวตั้ง ต้องเอาความจริงเหตุผลที่เป็น วิทยาศาสตร์มาเป็นตัวตั้ง แล้วก็ทำในสิ่งที่ ถูกต้อง ทำในสิ่งที่เป็นจริง อย่าโกรธใคร ไม่อยากได้ของใคร ไม่โกรธใคร ไม่ทำร้ายคน มุ่งมั่นตั้งใจ ทุ่มเท ทำงานอย่างมืออาชีพ มุ่งมั่น ตั้งใจ ทุ่มเท เกาะติด ผมคิดแค่นี้ไม่มีอะไรสลับ ซับซ้อนคิดในเรื่องของความเป็นวิทยาศาสตร์อย่า เอาความเชื่อ อย่าเอาอารมณ์มาทำงาน อาจจะ ไม่สำเร็จ ..."