ก้าวสู่สังคมธรรมาภิบาลกับศาลปกครอง : โดย ธัญธร ปังประเสริฐ พนักงานคดีปกครองชำนาญการพิเศษ สำนักวิจัยและวิชาการ สำนักงานศาลปกครอง
ฝังกลบขยะไม่ถูกหลัก ... ต้นข้าวข้างเคียงตาย : ชดใช้ค่าเสียหายด้วย !
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ... เราทุกคนต่างมีส่วนที่ทำให้เกิดขยะจำนวนมากจากการอุปโภคบริโภคและอื่น ๆ ซึ่งเป็นหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่จะต้องดำเนินการกำจัดขยะมูลฝอยให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ โดย
ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยตลอดจนความเสียหายอื่น ๆ แก่ประชาชน และพวกเราในฐานะประชาชนเองก็ต้องช่วยกันลดปริมาณขยะที่ไม่จำเป็นเพื่อช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมที่เราต้องอยู่อาศัยต่อไปด้วย
ที่มาของคดีมีว่า ... เทศบาลได้ซื้อที่ดินซึ่งมีแนวเขตติดกับที่ดินของนายพืช (ผู้ฟ้องคดี) เพื่อทำเป็นที่กำจัดขยะมูลฝอย โดยในระยะแรกได้กำจัดขยะด้วยการเผาทำลาย แต่ต่อมาได้เปลี่ยนมาเป็นวิธีฝังกลบขยะแทนและได้ขุดดินออกไปทำเป็นบ่อกำจัดขยะแบบฝังกลบขนาดใหญ่และบ่อพักน้ำเสีย ซึ่งอยู่ห่างจากขอบบ่อกักเก็บน้ำของนายพืชเพียง ๕ เมตร นายพืชอ้างว่าหลังจากเทศบาลเปลี่ยนวิธีกำจัดขยะแล้ว การเพาะปลูกข้าวของตนก็เริ่มเกิดปัญหาขึ้น โดยช่วงแรกต้นข้าวจะเจริญงอกงามดีแต่รวงข้าวที่ออกมาฝ่อไม่มีเมล็ด และมีต้นข้าวแห้งตายเป็นหย่อม ๆ โดยเฉพาะบริเวณแนวเขตที่อยู่ติดกับบ่อกำจัดขยะจะได้รับความเสียหายมากที่สุด
โดยนายพืชพบว่ามีน้ำเสียจากบ่อกำจัดขยะไหลลงมาในพื้นที่แปลงนาของตนจึงบันทึกภาพและวิดีโอไว้เป็นหลักฐาน และเมื่อนำผลผลิตข้าวที่ได้ทั้งหมดไปเปรียบเทียบกับใบรับรองผลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ออกโดยสำนักงานเกษตรอำเภอ ปรากฏว่า ผลผลิตเฉลี่ยที่คาดว่าจะได้รับขาดหายไปประมาณ ๔,๓๐๒ กิโลกรัม คิดเป็นเงินจำนวน ๖๙,๒๖๒ บาท นายพืชจึงร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากนั้นได้รับการติดต่อจากนายสินซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของเทศบาล โดยขอให้นายพืชลงชื่อในหนังสือเพื่อขอรับเงินค่าเสียหายจำนวน ๖๙,๒๖๒ บาท จากเทศบาล และนายสินจะจ่ายเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมให้กับนายพืชด้วย
ต่อมานายพืชได้รับเงินจากนายสินจำนวนหนึ่ง ส่วนเทศบาลยังไม่ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ตน จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองขอให้เทศบาลชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน ๖๑,๗๕๖.๓๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย รวมทั้งให้ดำเนินการปรับปรุงแนวคันดินกั้นบ่อขยะให้มีความมั่นคงแข็งแรง และควบคุมดูแลการปล่อยน้ำเสียและการไหลของน้ำเสียไม่ให้เข้าไปในพื้นที่แปลงนาของตนอีก
คดีมีประเด็นปัญหาว่า เทศบาล (ผู้ถูกฟ้องคดี) ได้กระทำละเมิดอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ กรณีไม่ควบคุมและป้องกันมิให้น้ำเสียที่เกิดจากกระบวนการกำจัดขยะแบบฝังกลบไหลเข้าไปในแปลงนาของผู้ฟ้องคดี จนเป็นเหตุให้ต้นข้าวได้รับความเสียหายหรือไม่ ?
ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาว่า เทศบาลมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการกำจัดขยะมูลฝอย รวมทั้งจะต้องดำเนินการโดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเนื่องกับประชาชนจากวิธีการกำจัดขยะด้วย เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานแล้วพบว่า ลักษณะบ่อกำจัดขยะอยู่สูงกว่าแปลงนาของผู้ฟ้องคดี โดยเจ้าหน้าที่ได้นำขยะกองไว้ด้านบนของบ่อก่อนที่จะทำการฝังกลบ โดยมีแนวคันดินกั้นระหว่างบ่อกำจัดขยะกับที่นาของผู้ฟ้องคดีมีความสูงเพียงเล็กน้อยและมีน้ำเสียขังอยู่บริเวณบ่อ ซึ่งเมื่อมีฝนตกและลมแรงย่อมส่งผลให้เศษขยะลอยไปตกในที่นาของผู้ฟ้องคดี และมีน้ำชะขยะที่กองอยู่บริเวณบ่อไหลลงไปในบ่อกักเก็บน้ำและแปลงนาพิพาท
ประกอบกับพยานผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจสอบพื้นที่และคุณภาพน้ำผิวดินบริเวณใกล้เคียงบ่อกำจัดขยะ และสรุปผลโดยเห็นว่าที่นาของผู้ฟ้องคดีอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าบ่อกำจัดขยะ และพบร่องรอยของทางน้ำ ชะขยะไหลออกไปด้านนอกบ่อกำจัดขยะ ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะส่งผลกระทบต่อสภาพดินในที่นาและผลผลิตลดลงได้
ดังนั้น แม้ว่าผลการตรวจสอบจากพยานผู้เชี่ยวชาญจะปรากฏว่าค่าแบคทีเรียไม่เกินค่ามาตรฐานก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาความเห็นของผู้เชี่ยวชาญประกอบกับข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเทศบาลได้กำจัดขยะด้วยวิธีฝังกลบโดยมีบ่อพักน้ำเสียที่อยู่ห่างจากขอบบ่อกักเก็บน้ำและแปลงนาของผู้ฟ้องคดีประมาณ ๕ เมตร โดยพื้นที่บ่อกำจัดขยะอยู่สูงกว่าพื้นที่แปลงนาจึงเชื่อได้ว่าน้ำเสียจากบ่อกำจัดขยะไหลลงมาในที่นาเป็นเวลานานและสะสมอยู่ในผิวดินจนได้รับความเสียหาย สาเหตุที่ต้นข้าวเสียหายจึงเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากความระมัดระวังที่พึงควรจะมีตามวิสัยและพฤติการณ์ โดยไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง อันเป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงแก่ผู้ฟ้องคดีและป้องกันมิได้เกิดความเสียหายขึ้นอีก (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อส.๒/๒๕๖๔)
คดีดังกล่าว .... ถือเป็นแนวทางการปฏิบัติราชการที่ดีแก่หน่วยงานซึ่งมีหน้าที่กำจัดขยะมูลฝอยที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายและหลักวิชาการ ป้องกันมิให้ประชาชนได้รับผลกระทบจนเกิดความเสียหายจากการดำเนินการกำจัดขยะ และแม้ว่าค่าแบคทีเรียจะไม่เกินค่ามาตรฐานก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงเห็นได้ชัดเจนว่ามีน้ำเสียไหลลงสู่ที่นาของชาวบ้านจริง และผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าอาจสะสมจนส่งผลกระทบทำให้ดินได้รับความเสียหายและผลผลิตลดลงได้ จึงถือว่าเป็นการกระทำละเมิดอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ในการป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันถือเป็นอุทาหรณ์ที่พึงระมัดระวังในการทำหน้าที่ค่ะ