ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ย้อนกลับ
พินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี รองประธานสมาพันธ์ขงจื้อนานาชาติ ประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน และส่งเสริมความสัมพันธ์
02 ก.ค. 2568

ในปีนี้ถือเป็นมีมงคลอีก 1 ปี โดยเฉพาะการเปิดความสัมพันธ์ไทย-จีน ที่เวียนมาครบรอบ 50 ปี ซึ่งแน่นนอ จีนถือเป็นมหาอำนาจหนึ่งของโลกที่ปัจจุบันมีความเจริญรุดหน้าไปอย่างรอบด้าน นั่นเพราะหนึ่ง จีน มีประชากร 1.4 พันล้านคน ที่เป็นตลาดใหญ่ของโลก ที่สำคัญความเจริญรุดหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้งในทุกด้าน แม้กระทั่งเทคโนโลยีที่เราคิดว่าฝากฝั่งตะวันตกล้ำสมัย แต่ปัจจุบันมิได้เป็นเช่นนั้นแล้ว แน่นอนว่า ประเทศไทยเราก็ย่อมต้องสานสัมพันธ์ให้แนบแน่นเพื่อประโยชน์ในหลายๆ ด้าน

ทั้งนี้ ประเทศไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตนี้เกิดขึ้นหลังจากการเจรจามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 นับเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์การทูตของไทย ความสัมพันธ์นี้พัฒนาอย่างต่อเนื่องและมีความใกล้ชิดในทุกระดับ ทั้งการแลกเปลี่ยนการเยือนและความร่วมมือในทุกมิติ

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์อันยาวนานมาดังที่กล่าว มีหลายบุคคลที่กรุยทาง ปูทาง จนก้าวมาสู่ความสำเร็จในปัจจุบัน ซึ่งนอกเหนือจาก หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยคนที่ 13 ที่ไทยกับจีนเปิดความสัมพันธ์ในยุคสมัยของท่านแล้ว บุคคลอีกผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อการเสริมสร้างความสัมพันธ์มาอย่างยาวนานที่วันนี้ อปท.นอวส์เราอยากจะขอนำมาพูดถึงก็คือ “พินิจ จารุสมบัติ” นักการเมืองรุ่นเก๋า ที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญมาแล้วหลานตำแหน่ง อาทิ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฯลฯ

ปัจจุบัน คุณพินิจ ได้เลิกลาจากแวดวงการเมืองไปแล้ว แต่ด้วยความที่เป็นบุคคลเบอร์ต้นๆ ที่ก่อร่างความสัมพันธ์ไทยกับจีนมาอย่างยาวนาน ความไว้เนื้อเชื่อใจดังกล่าว จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นบุคคสำคัญในองค์กรระหว่าง 2 ประเทศ ได้แก่ รองประธานสมาพันธ์ขงจื้อนานาชาติ (Confucius Institute) ที่เป็นหน่วยงานภายใต้การดูแลของสำนักงานสภาภาษาจีนนานาชาติ (Office of Chinese Language Council International หรือ Center for Language Education and Cooperation: CLEC) สังกัดกระทรวงศึกษาธิการจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมภาษาและวัฒนธรรมจีน รวมถึงสนับสนุนการเรียนการสอนภาษาจีนในระดับนานาชาติ และอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม. สถาบันขงจื๊อทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วโลก และอีกองค์กรหนึ่งคือ ประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน และส่งเสริมความสัมพันธ์ ที่มีวัตถุประสงค์ในการสร้างสานสัมพันธ์ไทย-จีนให้ก้าวหน้า

คุณพินิจ ในวัย 73 ปี ได้ให้เกียรติ อปท.นิวส์ เปิดบ้านพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง ซึ่งเจ้าตัวขอเน้นไปที่ความสัมพันธ์ไทย-จีน โดยถือเป็นวาระพิเศษ ครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีนนั่นเอง โดยคุณพินิจ เริ่มเล่าให้ฟังว่า ตัวคุณพินิจเริ่มสัมพันธ์กับประเทศจีนมาตั้งแต่ครั้งยังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัย โดยได้รับเชิญจากรัฐบาลจีนให้ไปเยี่ยมเยือนประเทศจีนเมื่อปี 1976 ซึ่งถือเป็นการไปศึกษาดูงานที่ประเทศจีนพร้อมสร้างความสัมพันธ์ หลังไทย-จีนเปิดสัมพันธ์กัยใหม่ๆ เมื่อปี 1975

“ตอนนั้นผมไปในฐานะเป็นผู้นำนักศึกษา ซึ่งถือเป็นชุดแรกๆ ที่มีโอกาสไปเยือนจีน ก็ไปกัน 3 คน มีคุณธีรยุทธ บุญมี และคุณวิรัช ศักดิ์จิระภาพงศ์ คือเราก็อยากรู้ว่า เมื่อจีนได้เริ่มสถาปนาเป็นประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้วเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1949 จะเป็นอย่างไร และเมื่อจีนได้เปิดสัมพันธไมตรีกับไทยในปี 1975 แล้ว ก็ถือโอกาสได้รีบไป เพราะว่าการเดินทางไปถูกต้องตามกฎหมายแล้ว และจีนถือเป็นประเทศใหญ่มีประชากรมาก เรียกว่าต้องเป็นหนึ่งในมหาอำนาจโลกอย่างแน่นอน มีเศรษฐกิจการค้าอะไรต่างๆ สูงมาก เป็นตลาดใหญ่ ไทยเราจะต้องรีบไปผูกสัมพันธไมตรี”

การไปครั้งนั้นก็ได้ไปดูการพัฒนาของจีน ดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีน ดูการจัดระเบียบโครงสร้างต่างๆ ไปดูประวัติศาสตร์สงครามการต่อสู้ ไปพิพิธภัณฑ์ ไปอะไรหลายแห่ง ก็ไปทั้งหมดเกือบ 1 เดือน และสิ่งที่ได้เห็นก็คือ คนจีนมีความกระตือรือร้น มีความขยันขันแข็ง สำคัญสุดคือ คนจีนมีความรักชาติ  รักแผ่นดิน และมีความเสียสละเป็นอันมาก มีความขยันมาก ค้าขายเก่ง ซึ่งมองเห็นได้เลยว่า ควรต้องรีบไปมาหาสู่กัน เชื่อมความสัมพันธ์กันในทุกๆ ด้าน แลกเปลี่ยนนักศึกษา แลกเปลี่ยนคณะละคร คณะศิลปะการแสดงดนตรีอะไรต่างๆ เพื่อให้ชาวจีนชอบ เช่น เรื่องดนตรี กู่เจิง  ศิลปะการร่ายรำ รวมทั้งการเขียนภู่กัน การการวาดภาพต่างๆ ไทยก็ควรไปผูกสัมพันธ์ในเรื่องเหล่านี้

คุณพินิจ ยังบอกด้วยว่า หลังจากกลับมาแล้ว ก็ยิ่งมองว่า จีนในอนาคตน่าจะมี Power มาก โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ เพราะเขามีคนจำนวนมากก็ย่อมมีความต้องการมากตามมาด้วย สินค้าต่างๆ อาหาร ธัญพืช อุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ เป็นการเปิดตลาด

ต่อข้อถามว่า หลังจากลับมาจากการเยือนครั้งนั้นแล้ว ดำเนินการต่ออย่างไร คุณพินิจ บอกว่า เราก็ผูกสัมพันธ์มาตลอด มีความร่วมมือกับทางสถานทูตจีนในประเทศไทยด้วย มีการงานต่างๆ เราก็ร่วมมือกันจัดแสดงสินค้า จัดแสดงศิลปะวัฒนธรรมต่างๆ เหล่านี้ ร่วมมือกันที่ผ่านมา จีนมีงานมาก็เชิญเราไปร่วม

ช่วงนั้นท่านก็เริ่มเข้าสู่การเมืองแล้วสิใช่ไหมครับ เรายิงคำถาม คุณพินิจ กล่าวว่า ยังครับ ช่วงนั้นผมยังเป็นนักศึกษาอยู่ แต่พอเข้าสู่การเมืองได้รับการเลือกตั้งเข้ามาทำหน้าที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็ยิ่งมีความแน่นแฟ้นขึ้น พัฒนาขึ้น เสริมสร้างความสัมพันธ์ให้เพิ่มพูนมากขึ้น

“แล้วตอนผมเป็นรัฐมนตรีก็มีความรู้ ก็ยิ่งส่งเสริมความสัมพันธ์ให้มากขึ้น มีการผลักดันให้เกิดความร่วมมือทั้งด้านอุตสาหกรรม สาธารณสุข และเทคโนโลยีขณะที่ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสมัยนั้น ด้านคมนาคม การเดินเรือ ตู้สินค้าขนาดใหญ่ระหว่างจีนกับไทย ก็เป็นยุคสมัยผมที่เปิดเอาเรือขนาดยักษ์ของจีนเข้ามาที่ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งตอนนั้นไทยเรายังขาดมากเรื่องขนส่งทางทะเล ซึ่งสมัยนั้นมีแต่เรือจากญี่ปุ่นบ้าง เกาหลี ไต้หวัน บ้างก็คิดราคาสูงมาก การเปิดให้เรือจีนเข้ามาแข่งขัน ก็ทำให้ค่าระวางต่างๆ ลดลง เพิ่มพื้นที่ในการส่งออก”

คุณพินิจ บอกด้วยว่า ในสมัยนั้นเดินทางจีนบ่อยมากทั้งไปด้วยตัวเองและถูกรับเชิญไปร่วมประชุม ทั้งนักธุรกิจไทยเองที่มีเชื้อสายจีนก็เก่งมากทั้งยังมีความสัมพันธ์เป็นญาติพี่น้องกัน อย่างที่กวางโจงนี่เยอะมาก ส่วนความเป็นมาจนได้รับเลือกให้เป็นรองประธานสมาพันธ์ขงจื้อนานาชาติ คุณพินิจเล่าว่า ทางจีนเป็นคนติดต่อทาบทามเข้ามาอยากให้ผมร่วมเป็นรองประธานสมาพันธ์ฯ โดยเมื่อหลายปีก่อนประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เป็นคนไปเปิดประชุม โดยปีที่ผมไปประชุม เป็นท่าน หวาง ฮู่หนิง และมาดามซุน จู หลาง รองนายกรัฐมนตรี แล้วก็มีท่านอธิการบดีมหาลัยปักกิ่ง ซึ่งบุคคลนี้ก็เป็นบุคคลที่สำคัญมาก เพราะใครจะเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ต้องเป็นที่ยอมรับ ไม่เฉพาะในประเทศจีน แต่เป็นคนทั่วโลก เพราะมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ถือเป็นอันดับ 1 ของโลก เหมือนกับเบิร์กลีย์ หรือฮาร์วาร์ด

“ท่านอธิการบดีนี่ก็เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงศึกษา เป็นอะไรต่างๆ มาเยอะ ผมก็เห็นว่าสมาพันธ์นี้มีบทบาทการเผยแพร่เกี่ยวกับปรัชญาของขงจื้อ ที่นำเอาเรื่องการปรองดอง การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การแบ่งปันกัน มีน้ำใจซึ่งกันและกัน อย่างนี้ครับ ขงจื้อสอนให้คนมีความกตัญญู ซื่อสัตย์ เสียสละ มีจิตใจเอื้ออาทร ช่วยเหลือกัน ลดความขัดแย้ง ก็คือไม่ให้เกิดสงครามการสู้รบ หลักปรองดองของขงจื้อก็เป็นหลักที่จะทำให้มวลมนุษยชาติในโลกนี้อยู่ด้วยกันอย่างสันติสุขร่มเย็น อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีมาก ผมก็ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชาวโลกจะต้องยึดถือ”

คุณพินิจ บอกต่อด้วยว่า ทางจีนก็ให้ความสำคัญกับสมาพันธ์ฯ แห่งนี้มาก มีบุคคลระดับผู้นำเยอะมากที่มาเข้าร่วม มีอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเป็นรองประธาน มีอดีตนายกอิตาลีเป็นรองประธาน มีอดีตนายกฯ หลายประเทศ แล้วก็มีผู้อำนวยการองค์การยูเนสโก และผู้แทนประเทศต่างๆ มากมาย ในจีนก็มีมหาวิทยาลัยชานตุง ลีกหลายสิบมหาวิทยาลัยก็มาอยู่ในสมาพันธ์ฯ แห่งนี้ ก็ถือเป็นศูนย์รวมของบรรดาเกจิอาจารย์ชั้นยอดเยี่ยมของจีนและทั่วโลก ถือว่ายิ่งใหญ่มาก ผมก็เข้าไปช่วยงานในด้านการเผยแพร่

“พอเขาเลือกให้ผมเป็นรองประธานฯ ผมก็เสนอให้ปีนี้ ที่ครบรอบ 50 ปี สัมพันธ์ไทย-จีน ก็ให้มาประชุมที่เมืองไทยเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ในครั้งนี้ ทางสมาพันธ์ฯ ก็เห็นชอบด้วย ก็มาจัดประชุมที่เมืองไทย ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก เมื่อวันที่ 9-10 มิ.ย. 68 ที่ผ่านมา ก็มีชาวต่างประเทศจากสมาพันธ์ฯ มาร่วมประมาณ 200 กว่าคน ผมเชิญมหาวิทยาลัยในไทยมาร่วมอีก 7-8 แห่ง ร่วมแล้วก็มีผู้มาเข้าร่วมประชุมประมาณ 500-700 กว่าคน แล้วก็เป็นที่สนใจมาก หลักสูตรต่างๆ ก็มาร่วมเยอะ เรียกว่าล้นหลามครับ”

คุณพินิจ บอกด้วยว่า การประชุมครั้งนี้มีผลสะเทือนมาก มหาวิทยาลัยต่างๆ มีการตื่นตัว นักศึกษามีการตื่นตัว เข้าใจ เพราะระดับ Key Speed Note เป็นระดับปรมาจารย์ทั้งนั้น หนาแน่นมากครับ

                ประเทศจีนถือได้ว่า เขาพัฒนามาอย่างยาวไกลมาก เอาง่ายๆ เราวัดดูจากเมื่อ 75 ปีที่แล้ว ปี 1949 ประธาน เหมา เจ๋อตง นำกองทัพแดงเข้ายึดจัตุรัสเทียนอันเหมิน แล้วประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1949 ก็ทำให้จีนลุกขึ้นยืนได้ ในอดีตที่ผ่านมา จีนถูกรุกรานจาก 8 มหาอำนาจ ถูกญี่ปุ่นเข้ามายึดครองแล้วเข่นฆ่าฟันประชาชนจีนเป็นนับ 10 ล้านคน ประธานเหมา เจ๋อตง นำประชาชน นำกองทัพแดงเข้าต่อสู้ขับไล่ผู้รุกราน ต่อสู้กับญี่ปุ่นเขาเรียกว่า สงครามขับไล่ญี่ปุ่น ได้รับชัยชนะ แล้วต่อมาก็สงครามปฏิวัติ ก็คือต่อสู้กับ ก๊กมินตั๋ง ก็ได้รับชัยชนะ เพราะประธานเหมาทำเพื่อประเทศ ทำเพื่อประชาชน มีความเสียสละ

เขาเรียกอะไร ได้ปลดปล่อยให้ประชาชนจีนมีข้าวกิน มีที่ดิน มีอะไรต่างๆ มีการแบ่งปัน ในที่สุดพอมีข้าวกินมากขึ้น ก็เลยค่อยปลดปล่อยมาจนคนจีนพัฒนาประเทศ จนถึงวันนี้ก็มาจากขั้นตอนต่างๆ ของการบริหารโดยระบบสังคมนิยม มาสมัย เติง เสี่ยวผิง ก็เปิดประเทศ มีการค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้น ก็ทำให้จีนได้พัฒนา เพราะต่างประเทศเห็นว่าจีนเป็นตลาดใหญ่ มีความต้องการ นายทุนต่างประเทศเห็นถ้าค้าขายกับจีนจะมีกำไรมาก เป็นตลาดใหญ่ ก็รีบผลักดันให้ผู้นำประเทศเข้ามาเปิดสัมพันธ์ เช่น สหรัฐฯ กับจีน ประธานาธิดีนิกสันมาเล่นปิงปอง เปิดสัมพันธ์ โค้กเข้ามาบริษัทแรก ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

ทำให้นายทุนนี่ตาลุกเลย ใครก็ต้องการพุ่งมาค้าขายกับจีนรวมทั้งประเทศไทยเราด้วย หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นก็รีบเดินทางไปเปิดสัมพันธ์ใหม่กับจีนเมื่อ 1 กรกฎาคม 1975 นี่เป็นที่มาที่ไป เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าจีนพัฒนาจากความอดอยากอดตายหนาวตาย มีความขาดแคลนทุกสิ่งทุกอย่าง จนวันนี้จีนมีเกินปัจจัย 4 มีปัจจัย 5 6 7 ยิ่งใหญ่มาก เป็นตลาดซื้อที่สำคัญมาก นักเรียนจีนเป็นที่ต้องการของคนทั่วโลก วันนี้จีนมีเงินมาก ทุกประเทศต้องการนักท่องเที่ยวจากจีน ทั้งประเทศไทยที่ผ่านมาเหมือนกัน เพราะถ้ามีนักท่องเที่ยวจีนไปประเทศไหนเป็นจำนวนมาก นั่นหมายถึงเศรษฐกิจจะดีขึ้น เพราะจีนกระเป๋าหนักแล้ว มีเงินหยวน มีดอลลาร์ มีเงินฮ่องกง ทำให้ประเทศต่างๆ เร่งการค้ากับจีน โดยเน้นเรื่องเศรษฐกิจการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว

สำหรับไทยเรา ก็ยังมาเน้นเรื่องการศึกษา มีการแลกเปลี่ยนกัน วันนี้มีนักศึกษาจีนอยู่ในไทยประมาณ 40,000 คน ไทยไปเรียนที่จีนก็ประมาณ 50,000 คน การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม มีดนตรี มีการสอนกู่เจิง สอนภาษาจีน อย่างสภาของเรานี่ก็ได้รับทุนจากกระทรวงชาวจีนพ้นทะเลหรือเรียกว่า เฉี่ยวป้าน ปีนี้เราได้ 48 ทุน ได้มาทุกปี 20 ครั้งแล้วที่เราทำส่งนักศึกษาที่เป็นข้าราชการไปเรียนที่ปักกิ่ง ไปเรียนมหาวิทยาลัยภาษาปักกิ่ง 1 ปี ปีนี้ได้ 48 ทุนก็มีคนสมัคร 200 เพราะฉะนั้น ความต้องการคนไทยอย่างเรียนภาษาจีนเยอะมาก คนจีนเช่นเดียวกันอยากเรียนภาษาไทย

นี่คือความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้น พัฒนาขึ้น ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก จีนกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ มหาอำนาจทางด้านวัฒนธรรม มหาอำนาจทางการช่วยเหลือนานาชาติ จีนไม่เคยเอาเปรียบประเทศไหน ดูอย่างประเทศในแอฟริกา คนแอฟริกาพูดภาษาจีน เล่นงิ้วจีน เก่งกว่าคนไทยเราเยอะเลย นี่คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ยิ่งในยุคนี้ โลกมันมีหลายขั้ว

วันนี้จีนมีรถไฟความเร็วสูง และมีรถไฟฟ้ารถไฟฟ้า ตีตลาดไปทั่วโลกหมด การพัฒนาของจีน ถนนหนทางของจีน ไม่ว่ะเป็นดาวเทียมเป็น Huawei เป็น AI เป็นควอนตัม ต่างๆ นี่  จีนไปไกลมาก เทคโนโลยีสูงมาก แต่ที่สำคัญคือจีนพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนจีนดีมาก มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีข้าวกิน มียารักษาโรค มีโรงพยาบาล มีโรงเลี้ยงเด็ก มีโรงเรียน มีอะไรต่างๆ ครบเครื่อง มีสนามกีฬา ฯลฯ ที่สำคัญกว่า คือคนจีนมีความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินมาก สังคมมีความปลอดภัย ไม่มีปัญหายาบ้า กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์มาก  

ต่อข้อถามว่า อะไรที่ไทยเราควรนำแบบอย่างของจีนมาใช้พัฒนาบ้าง คุณพินิจ ให้ความเห็นว่า การพัฒนาของแต่ละประเทศก็มีความแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ไทยเราก็มีจุดแข็งของเรา และเราก็มีจุดอ่อน จีนก็เช่นกัน ก็มีจุดแข็งเยอะ อย่างผมนี่ดูเหมือนสนับสนุนเชียร์จีนมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจีนดี 100% สิ่งที่ไม่ดีก็มี ที่ต้องมีการแก้ไขพัฒนาก็ยังมีอยู่ แต่ก็น้อยมากแล้ว ก็เรียนรู้ในสิ่งที่ดีจุดแข็งของจีนนำมาประยุกต์ใช้ แต่อย่าไปลอกเลียนแบบ เพราะว่าความรูปการจิตสำนึกของคนไม่เหมือนกัน การศึกษาวัฒนธรรมชีวิตเป็นทั้งธรรมชาติสิ่งแวดล้อม เราไปยึดเป็นแบบอย่างเดียวกันไม่ได้ สิ่งที่ยึดได้คือ ความรักชาติ ความรักประชาชน หรือความเสียสละ อันนี้ยึดถือได้เป็นแบบอย่าง ศึกษาซึ่งกันและกันได้

อยากจะฝากไว้อะไรไปถึงนักธุรกิจไทยหรือคนไทยที่จะคบหาค้าขายกับจีน ควรต้องคำนึงอะไรบ้าง คุณพินิจ บอกว่า ซื่อสัตย์ สุจริต ตรงไปตรงมา ความถูกต้อง และที่สำคัญที่สุด เคารพกฎหมาย อย่าไปทำอะไรผิด อันนี้เป็นพื้นฐาน อยากจะฝากไว้เท่านี้

อย่างตอนนี้จีนมาเมืองไทย ก็ต้องเคารพกฎหมายไทย ตอนนี้จีนเทามาเยอะ อุตสาหกรรมเทากันเยอะ อะไรต่างๆ เพราะจีนคิดว่าไทยเอาเงินจ่ายก็จบ แต่มันบานปลาย มันไม่จบ คนไทยที่ไปหลอกไปอะไรแนะนำจีนในสิ่งที่ไม่ดีก็เยอะ ผมก็เห็นหลายคน จีนที่มีปัญหาแล้วมาบอกผมก็เยอะ เพราะเขาถูกหลอกว่า จ่ายเงินมาแล้วเดี๋ยวได้ใบอนุญาตได้ แต่พอเขาจ่ายเงินไปแล้ว กลับไม่ได้ใบอนุญาต

“อย่างให้เขาทำโรงงานสร้างโรงงานไปเลยอย่างนี้ บอกเขาไม่มีปัญหา เอาเงินเขาไปแล้ว ไปกินไปใช้หมด ไม่ไปทำใบอนุญาตให้เขา อย่างนี้เป็นต้น จีนเทาก็มี อันนี้เราต้องระวัง ก็ต้องดูว่าอย่าไปเชื่อคนง่ายเราต้องมีหลักว่า ต้องมาติดต่อทางราชการที่น่าเชื่อถือเท่านั้น ผมก็ทำหน้าที่อย่างนี้ เพราะว่าสภาวัฒนธรรมฯ ผมไม่มีผลประโยชน์ไ ม่ได้หากิน ไม่ได้ทำธุรกิจ แล้วไม่รับเงินใคร แต่เราช่วยเหลือในแง่ของมิตรภาพมิตรไมตรีต่อกัน” คุณพินิจ กล่าวทิ้งท้าย

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 31 กรกฎาคม 2568
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
04 ส.ค. 2568
การเลือกตั้งนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) ลำสุดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ถือเป็นการเลือกตั้ง ท้องถิ่นทั่วประเทศตามวาระครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง แม้จะมีเพียง 47 จังหวัดเท่านั้น เนื่องจากมีการ ลาออกก่อนกำหนดไปก่อนหน้านี้หลายจังหวัด อย่างไรก็ต...