ห่วงอนาคตเด็กและเยาวชน
รัฐวางกฎเหล็ก "สังคมก้มหน้า”
รัฐบาลเอาสมองไปสนใจเด็กและเยาวชนไทยกันบ้าง เพราะเวลานี้เด็กไทยคุณภาพน่าจะตกต่ำไปมาก
นอกจากการเรียนการสอนของเมืองไทย ที่ด้อยกว่าชาติอื่นๆในโลกหรืออาเซียนแล้ว ข้อกังวลสำคัญในขณะนี้คือเด็กและเยาวชนติดมือถือกันงอมแงมยิ่ งกว่ายาเสพติดเสียอีก
รัฐบาลชุดนี้ไม่มีนโยบายอะไรที่เด่นชัดในการควบคุมการใช้มือถือ
โดยเฉพาะในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม ไปดูในต่างประเทศที่เจริญแล้วเขายังควบคุมในเรื่องเหล่านี้ไม่ให้พลเมืองทุกวัยของเขาโง่เขลาเบาปัญญา ไปกับสื่อโซเชี่ยลที่คอยกัดกินสติปัญญาจนสังคมเละเทะไปหมดในอนาคต
จากข้อมูลที่ได้ติดตามในต่างประเทศนโยบายชัดเจนมาก ประเทศเนเธอร์แลนด์ตั้งแต่ปี 2024 นักเรียนห้ามใช้มือถือ tablet และ smartwatch ในห้องเรียน ยกเว้นการใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ นักเรียนที่มีความพิการ และในชั้นเรียนที่สอนทักษะดิจิทัล พี่ใหญ่อย่างประเทศจีนนักเรียนไม่สามารถนำมือถือไปโรงเรียนได้ หากไม่มีเอกสารยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ปกครอง
กลุ่มประเทศในยุโรปอย่างประเทศฝรั่งเศส ตามกฎหมายนักเรียนไม่สามารถใช้มือถือภายในบริเวณโรงเรียน หรือในกิจกรรมของโรงเรียนที่จัดนอกโรงเรียน ยกเว้นการสอนนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ รวมทั้ง การสั่งแบนมือถือในโรงเรียนทุกแห่งมีมาตั้งแต่ปี 2018 แต่การควบคุมให้มีประสิทธิภาพกลับเป็นเรื่องยาก
สำหรับประเทศสหราชอาณาจักร ไม่ได้มีกฎหมายแบนมือถือในห้องเรียน แต่โรงเรียนส่วนใหญ่มีนโยบายจำกัดการใช้มือถือ ส่วนมากไม่อนุญาตให้ใช้ในช่วงพักเบรกหรือพักเที่ยง ไปดูอีกฝั่งใต้ ประเทศนิวซีแลนด์ผู้นำนิวซีแลนด์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่ชาวนิวซีแลนด์จะต้องยอมรับว่า แม้โซเชียลมีเดียจะมีสิ่งดีๆ มากมาย แต่มันก็ไม่ใช่ที่ปลอดภัยสำหรับเยาวชนเสมอไป และผู้ปกครองก็กังวลใจเรื่องผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อลูกๆ กันตลอดเวลา
“ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องให้แพลตฟอร์มเหล่านี้ รับผิดชอบในการปกป้องเด็กๆ ที่เปราะบาง จากเนื้อหาที่เป็นอันตราย การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ และการแสวงหาประโยชน์”
ปีที่แล้ว นิวซีแลนด์ห้ามเด็กใช้โทรศัพท์มือถือ ระหว่างอยู่ที่โรงเรียน ซึ่งเป็นนโยบายที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขอัตราการรู้หนังสือในประเทศที่ลดลงอย่างรวดเร็ว และที่ประเทศออสเตรเลียเมื่อเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว ออสเตรเลียผ่านกฎหมาย ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี เล่นโซเชียลมีเดีย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโยบายปราบปรามแพลตฟอร์มโซเชียลยอดนิยม ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และเอ็กซ์แต่แพลตฟอร์มแชร์คลิปวิดีโออย่าง ยูทูบ ได้รับการยกเว้นจากมาตรการนี้ เพื่อให้เด็กนักเรียนใช้ประโยชน์ในการทำการบ้าน
สำหรับประเทศไทย ถ้าระดับเด็กและเยาวชนกระทรวงศึกษาดูแล ถ้าโตระดับปัญญาชนก็กระทรวง อว.ดูแล
นอกจากนี้ เรายังมีกรมกิจการเด็กและเยาวชนสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคม เรามีองค์กรภาคเอกชนที่ทำเรื่องเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนมากมาย องค์กรด้านวิชาการและงานวิจัยก็มากโข แต่การเอาใจใส่ยิบเรื่องการควบคุมหรือห้ามเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือแทบจะไม่มีหรือน้อยนัก ไปดูระดับชาติเรามีคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน หรือมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบ
ไปริเริ่มทำเรื่องนี้ให้เป็นตัวอย่างหน่อยก็จะเห็นภาพที่ดีขึ้นบ้าง
นี่คือการดูแลเด็กและเยาวชนในระบบ ยังมีอีกบอร์ดหนึ่งที่ไปดูนอกระบบ ตั้งขึ้นเมื่อปลายปี2567 ก็ควรจะขยับให้มากขึ้นคือคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) ระดับชาติซึ่ง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกหนังสือคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรีที่ 373/2567 แต่งตั้งไว้แล้ว
ดังนั้น แค่คุณภาพการเรียนการสอนของไทยยังทำไม่ได้ดีอย่างที่ต่างชาติประเมินไว้จริงๆ แล้วรัฐบาลต้องหันกลับมามองเรื่องคุณภาพ ของพลเมืองไทยอย่างเป็นระบบในอนาคตกันหรือยัง
อย่าให้เด็ก เยาวชนเป็นทางของวัตถุทุนนิยมที่ควบคุมไม่ได้ แต่การออกระเบียบ กฎหมาย มาตรการ ข้อปฏิบัติที่จะมีกำหนดในเรื่องของการใช้โทรศัพท์มือถือจะต้องเข้มข้น และมีผลในทางปฏิบัติด้วย ไม่เช่นนั้น ปัญหาจะลุกลามและบานปลายไปเรื่อยๆจนความเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจที่งดงามและประเทืองปัญญาต้องกลายเป็นพลเมืองที่ก้าวร้าว มีความรุนแรง ก่อปัญหาสังคมในทุกระดับ เพราะรัฐบาลที่ไม่เอาใจใส่พลเมืองของตัวเองนั่นเอง กระตุกต่อมคิดด้วยความหวังดีต่อประเทศ