ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ย้อนกลับ
พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ จาก นรต. 51 สู่เก้าอี้ เลขาธิการ คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC)
02 ต.ค. 2568

อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก 461

                นับแต่ภัยอาชญากรรมออนไลน์เริ่มอาละวาด หนักขึ้น ต้นเหตุหนึ่งก็มาจากข้อมูลส่วนบุคคลของ ประชาชนรั่วไหลไปถึงมือมิจฉาชีพ ซึ่งเกิดขึ้นได้ ทั้งการจงใจหลอกลวงหรือแม้กระทั่งหน่วยงานทั้ง ภาครัฐ-เอกชน รู้เท่าไม่ถึงการณ์ กฎหมายฉบับหนึ่ง จึงถูกตราขึ้นคือ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในปี 2562 โดยมีหน่วยงานหนึ่งเข้ามาทำหน้าที่นั่นก็คือ “สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล” (สคส.) หรือ The Office of the Personal Data Protection Committee (PDPC) มีผู้กุมบังเหียนคือ เลขาธิการฯ ภายใต้การกำกับของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี

            อย่างที่กล่าว พ.ต.อ.สุรพงศ์ ถือได้ว่าจับงานชิ้นนี้ มาตั้งแต่เริ่มต้น เขาเติบโตมาอย่างไร มีวิสัยทัศน์ เป็นเช่นไร อทป.นิวส์เชิญเป็นแขกฉบับนี้จึงขอนำท่าน ผู้อ่านมาทำความรู้จักกันให้ถ่องแท้

พ.ต.อ.สุรพงศ์ในวัย 49 ย่าง 50 ปี เปิดเผยกับเรา ว่า เขาเป็นคนนนทบุรี แต่ไปเกิดที่โรงพยาบาลศิริราช บิดามีอาชีพเป็นตำรวจ คือ พล.ต.ต.วิศาล เปล่งขำ ตำแหน่งสุดท้ายคือ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ชุมพร ปัจจุบันอายุ 78 ปี ที่เขาถือเป็นฮีโร่ของเขา และอยากเจริญรอยตาม ส่วนมารดาเป็นแม่บ้าน ปัจจุบันก็เสียชีวิตไปแล้ว

ด้านการศึกษาเริ่มเรียนที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 4 แล้วมา ได้เรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมทหาร ปี ก่อนจะแยกเหล่า ไปที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน คือเป็น เตรียมทหารรุ่น 35 และนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่น 51

"ตอนที่เรียนนายร้อยตำรวจก็เป็นที่น่าภาคภูมิใจที่ได้รับเลือกเป็นหัวหน้านักเรียน นายร้อยตำรวจ ซึ่งยุคนั้น มึนโยบายว่า ให้นักเรียน บังคับบัญชาไปเป็นต้นแบบให้กับน้องๆ พอจบ โรงเรียนตำรวจ ก็ได้มาเป็นนายทหารที่โรงเรียน เตรียมทหารปีหนึ่ง เพื่อไปปกครองดูแลน้องๆ นักเรียนเตรียมทหารปี 1 จากนั้นก็ได้มาลงเป็น พนักงานสอบสวนที่แรกที่สถานีตำรวจนครบาล ทองหล่อ พร้อมกับเป็นรองสารวัตรป้องกันและ ปราบปรามด้วยอยู่ประมาณ 3 ปี"พ.ต.อ.สุรพงศ์กล่าว พร้อมกับเปิดเผยต่อไปว่า

หลังจากนั้นก็มาเป็นผู้ช่วยนายเวรผู้บัญชาการ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ คือกลับเข้ามาที่โรงเรียน นายร้อยตำรวจ คือตอนนั้นท่าน พล.ต.ท.สุนทร นุชนารถ อดีตผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ อยากให้เข้าไปช่วยงานดูแลเป็นผู้ประสานงาน ในโรงเรียนนายร้อย อยู่ 2 ปี ก็มาลงพื้นที่ที่ภูธร ภาค 8 เป็นรองสารวัตรสืบสวน ก็คือดูแลพื้นที่ตั้งแต่ชุมพร ลงไปถึงภูเก็ต

เมื่อถามว่าภาคใต้ในยุคนั้นเป็นอย่างไรบ้าง พ.ต.อ.สุรพงศ์ บอกว่า ตอนนั้นคดีอุกฉกรรจ์เยอะมาก แต่ก็เป็นคดีที่มีลักษณะไม่ค่อยซับซ้อนมากนัก เนื่องจากคนทางใต้เป็นคนแบบตรงไปตรงมามีเรื่องกัน ก็เล่นงานเอากันเลย พอมีเหตุก็จะรู้ตัวผู้ทำผิดทันที ก็อยู่ที่ภาคใต้มาร่วม 10 ปี คือตั้งแต่ปี 47-57

สำหรับด้านยศตำแหน่ง ร.ต.ต. ถึง ร.ต.ท. ประจำ อยู่ที่ สน.ทองหล่อ มารับ ร.ต.อ. ตอนย้ายมาที่ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ แล้วมาติด พ.ต.ต. เมื่อเป็น สารวัตรกำลังพลที่ภูธรจังหวัดชุมพร อยู่ 2 ปี ก็มา เป็นสารวัตรจราจรอีก 3 ปี ก็ยังอยู่ที่ชุมพร ช่วงหนึ่ง ขึ้นมาเป็นรองผู้กำกับ ก็เข้ามาเป็นนายเวรของ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ส่วนกลางอยู่ 1 ปี แล้วก็กลับมาอยู่ที่เดิมที่ชุมพรเป็นรองผู้กำกับสืบสวน ถึงปี 57 จนได้เป็น พ.ต.อ. เลื่อนขึ้นมาเป็นผู้กำกับ อยู่ 1 ปี ตอนนั้นอายุก็ประมาณ 36-37 ปี

"ตอนนั้นก็พอดีแต่งงาน มีลูก ครอบครัวก็ อยากให้มาเรียนกรุงเทพฯ คุณฟอก็เกษียณพอดี จากชุมพร ก็มาอยู่กรงุเทพฯ ก็เลยขอย้ายเข้ามาอยู่ สำนักงานจเรตำรวจ ก็มีหน้าที่ในการตรวจระเปียบ วินัยของตำรวจทั่วประเทศ ก็อยู่ที่จเรตำรวรวจ อีก 1 ปี แต่จริงๆก็พยายามจะขอย้ายลงฟื้นที่ แต่ช่วงนั้นก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง ย้ายอีกทีก็เลย มาอยู่ยุทธศาสตร์ก็คืออยู่วิจัย เป็นผู้กำกับกลุ่มงาน ส่งเสริมงานวิจัยที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งก็ถือเป็นยุคบุกเป๊กด้านงานวิจัยของสำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ ก็ถือเป็นการเริ่มงานด้านวิชาการอย่างเต็มที่"

พ.ต.อ.สุรพงศ์ บอกด้วยว่า ช่วงเป็นรองผู้กำกับ ก็เรียนกฎหมายเพิ่มจนสอบได้เนติบัณฑิต เพื่อให้มี ความรู้มากขึ้นเป็นที่ยอมรับในเวลาที่ไปทำงานกับ พี่น้องประชาชน เสร็จจากงานวิจัยตอนนี้ก็ย้ายเข้ามา อยู่ที่สันติบาล ที่นี้ก็เกี่ยวข้องเป็นหน้างานหลักของเรา แต่ว่าสันติบาลของเราคือดูแลความปลอดภัยของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติกับหน่วยงานสำคัญๆ ที่ เขาขอมา เช่น สำนักงานข่าวกรอง ดูแลมาตรการ รักษาความปลอดภัย แล้วก็เรื่องการข่าว ก็อยู่ที่นี่อีก ประมาณ 2 ปี

"จริงๆ ผมอยากจะบอกอะไรสักอย่าง ก็คือเป้าหมาย ในชีวิตของผมจะมีหลักการอยู่ 2 เรื่อง หนึ่งก็คือ เรื่องของคติประจำใจ เรื่องนี้ก็เพื่อให้เราดำรงอยู่ใน สังคมได้ มีหลักการยังไง ผมก็จะมีคติคือว่า กระทำ การด้วยปัญญา รักษาความไม่ประมาทเสมอชีวิต ตรงนี้ก็มาจากอุดมคติของตำรวจ คือกระทำการ ด้วยปัญญา พูดง่ายๆ คือ ต้องมีสติ รักษาความไม่ ประมาทเสมอชีวิต ก็คือต้องมีสติตลอดเวลา เพราะ ผมเห็นว่า อย่างทำงานตำรวจนี่พลาดไม่ได้ จริงๆ อุดมคติตำรวจมี 9 ข้อแต่ผมยึดข้อนี้เป็นหลักเลย"

ส่วนอีกอย่างคืออุดมการณ์ ก็คือถ้าเรามีงาน มีอาชีพการงานหรือทำอะไรก็ตาม ถ้างานตรงนั้น ทำให้เกิดประโยชน์กับคนอื่น อันนี้ทำให้ชีวิตเรา มีคุณค่า คืออุดมการณ์ของผมไม่ว่าจะทำอะไรไม่ใช่ เป็นประโยชน์ของเราคนเดียวแต่ต้องเกิดประโยชน์ กับคนอื่นด้วย หรือประโยชน์สูงสุดคือเราก็ต้องยืนอยู่ บนความถูกต้องชอบธรรม แล้วก็ต้องเสียสละ

อย่างไรก็ตาม มาถึงจุดหนึ่ง พอดีมีพระราช บัญญัติตำรวจศาลขึ้นมาก็สนใจ เพราะว่าตำรวจศาล จะเป็นข้าราชการที่อยู่ในสังกัดสำนักงานศาลยุติธรรม และพระราชบัญญัตินี้กำหนดให้มีหน่วยสืบสวน

ติดตามจับกลุ่มผู้ต้องหาที่หนีหมายจับจากศาล ระหว่างรอตัดสินคดี ก็มีไปก่อเหตุมากมาย ก็รู้สึกชอบ ได้ไปบุกเบิกงานนี้ เขาก็เปิดรับ เรียกว่าผู้อำนวยการ ศูนย์รักษาความปลอดภัย เป็นหัวหน้าเป็นผู้บริหาร สูงสุดของตำรวจศาล ซึ่งก็เข้าระดับผู้กำกับที่เราเป็น มาไม่น้อยกว่า 4 ปี แล้วก็จบเนติบัณฑิต ก็ไปสมัคร ปรากฏว่าได้รับการคัดเลือกไปเลยเป็นหัวหน้าเลย โอนจากตำรวจมาสังกัดสำนักงานศาลยุติธรรม ใน เป็นตำแหน่งที่ตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก

แต่ด้วยนโยบายในครั้งนั้นให้รักษาความ ปลอดภัยอย่างเดียว ไม่ได้ไปจับกุมอะไร ก็เริ่มคิดว่า จะมีทางไหนบ้างที่อื่นเป็นเอกชนดีไหม พอดีมีเพื่อน พ.ต.ท. ดร.กฤษณพงศ์ พูตระกูล อยู่ที่มหาวิทยาลัย รังสิต ตอนนั้นเป็นผู้ช่วยอธิการบดี เป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านอาชญาวิทยา ก็ชวนไปเป็นอาจารย์ แล้วก็ไป ช่วยดูเรื่องงานด้านพัฒนานักศึกษาที่มหาวิทยาลัย รังสิต เราก็โอเค งั้นไป ก็ออกจากตำรวจศาล 3 เดือน แต่ก็ตั้งอะไรเรียบร้อยแล้วเสร็จแล้ว แต่ตอนนั้นอายุ ข้าราชการ 25 ปีก็ได้ครบแล้ว

ต่อมา ก็มีผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์เขามองเห็น ปัญหาขององค์การคลังสินค้าที่ตอนนั้นมีคดีค้างอยู่ มากมาย แล้วต้องการคนเข้าไปช่วยจัดการ แล้วก็มี เรื่องทุจริตมากมาย ต้องการนักกฎหมายเข้าไปช่วย แก้ไข ก็เลยเปิดสรรหาผู้ช่วยผู้อำนวยการคลังสินค้า ซึ่งสเปกเราได้ ทั้งด้านกฎหมาย อาชญาวิทยา อาจ จะต้องมีการไกล่เกลี่ย เพราะเป็นเรื่องระหว่างรัฐกับ เอกชน ซึ่งต้องอาศัยความยืดหยุ่น ก็มองว่าองค์ความรู้ เราได้ เมื่อเขายื่นการสรรหา ก็ได้รับการคัดเลือกเป็น ผู้ช่วยผู้อำนวยการคลังสินค้า ซึ่งตอนนั้นก็มีทั้งเรื่อง จำนำข้าว ถุงมือยาง ที่โด่งดัง ก็เข้าไปสางคดีที่ค้าง ไปได้ 2,000 กว่าเรื่อง อยู่ที่องค์การคลังสินค้า 3 ปี

"ระหว่างนั้นมีพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคลออกมา (ปี 62) แต่ว่ามาบังคับใช้ได้จริงๆ ในปี 65 ซึ่งเป็นกฎหมายล้วนๆ ที่จะไปคุ้มครอง ข้อมูลส่วนบุคคล มีประโยชน์ทั้งทางด้านสังคม คือ มันเป็นต้นตอของอาชญากรรม คือมองว่า ถ้าเรา ทำอย่างมีประสิทธิภาพ สังคมก็จะมีความปลอดภัย จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แล้วยังมีประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจด้วย เพราะถ้าเราทำให้หน่วยงาน ในประเทศเราได้มีการคุ้มครองที่ดี ก็จะเกิด ความเชื่อมั่นในสากลที่เขาจะทำการค้ากับเรา เป็น โอกาสที่นักลงทุนจะเลือกเรามากกว่าที่อื่น ก็สนใจ"

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเปิดรับสมัคร แต่ก็ไม่มี ระดับรอง ผู้บริหารสูงสุดคือเลขาธิการ ตอนนั้นก็ จะเป็น ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม แต่ตอนนั้นก็ได้มี โอกาสเข้ามาช่วยทำงานในคณะทำงานด้านกฎหมาย จากที่มีอยู่หลายๆ คณะในขณะนั้น เพราะองค์กรเพิ่งเริ่ม จัดตั้งขึ้นมา พอปี 66 เขาเริ่มมีการบรรจุแล้ว แต่ว่า ตำแหน่งเปิดแค่ผู้อำนวยการสำนัก และก็มีสำนัสำนัก ตรวจสอบและกำกับดูแล ซึ่งตำแหน่งนี้มีภารกิจกิจที่เข้ามา ดูแลให้เกิดความเรียบร้อยซึ่งก็ตรงกับหน้าที่ตำรวจคือ ตรวจสอบด้วยดูแลด้วย ก็เข้ามาสมัครเป็นผู้อำนวยการ เมื่อปลายปี 66 ก็เป็นยุคแรกๆ เลย และตอนนั้นก็ ไม่ได้คิดว่า จะต้องมาเป็นเลขาธิการด้วยซ้ำ ตอนนั้น ก็แค่คิดว่า ตำแหน่งรองเลขาธิการก็น่าจะเหมาะกับ เรามากกว่า

ต่อข้อถามว่า ตอนเข้ามาทำหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบและกำกับดูแล มีความยากง่ายเพียงใด พ.ต.อ.สุรพงศ์ บอกว่า ยากมากทีเดียว เพราะเป็นการ บังคับใช้กฎหมายครั้งแรก ประชาชนยังไม่เข้าใจ อะไรคือ ความผิด อะไรคือควรไม่ควรทำ คนจะตกใจว่ากลัวผิด แต่ผมมองว่า กฎหมายคือมาตรการเชิงปกครอง ก็ ต้องเริ่มจากการที่ให้แนะนำ ความยากคือเราต้อง ทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่ต้องมาสัมผัสกับเรา แล้วก็ทำความเข้าใจกับคณะกรรมการของเราซึ่งมี มากมาย ซึ่งเขาควบคุมการทำงานของเราอยู่

"คือการทำงานเป็นอิสระจริง แต่คนที่ชี้ว่า หลักกฎหมายใช่หรือไม่ใช่ ไม่ใช่เรา ในภาพรวมคือจะมี คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลควบคุม ด้านกฎหมาย มีคณะกรรมการกำกับสำนักงาน ควบคุมด้านบริหารเรา มีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ ที่เขาต้องเป็นผู้วินิจฉัยคดี แต่ว่าทั้งหมดนี้ เราเป็น ฝ่ายปฏิบัติ เราก็ต้องมีความเห็นของเราถึงจะเสนอ เขาได้ คือคนทั่วไปก็จะเกิดความกังวลว่า เวลาเรา เข้าไปทำงาน ต้องชี้ได้อะไรควรไม่ควร แต่ในทาง ปฏิบัติกลับไม่กล้าชี้กัน เพราะว่าชี้ไปเดี๋ยวคุ้มครอง ว่าไง แต่ตอนผมเป็นผู้อำนวยการฯ ผมกล้าชี้ เราบอกว่า มีความจำเป็นเพราะเราเป็นพนักงาน เจ้าหน้าที่ ก็ต้องมีความเห็นในเบื้องต้น"

เลขาธิการ PDPC บอกด้วยว่า เราต้องมีความเห็น ได้ ถึงผิดกฎหมายอื่นก็อยู่ในหน้าที่ เพราะเรามีหน้าที่ คุ้มครอง เราก็ต้องบอกได้ว่าอันนี้เป็นการละเมิด ข้อมูลส่วนบุคคลที่ผิดกฎหมายอาญา ผิดอะไร เราก็ ต้องสามารถที่จะไปร่วมกับเขาต่อยอดเขาได้ ก็เลย เกิดการบูรณาการ เกิดการดำเนินงาน คือถ้าสมมติ ว่า สัมผัสกับประชาชนตามความต้องการประชาชน ก็คือเรื่องคดีที่มั่นเกิดความเสียหายร้ายแรงพวกแก๊ง Call Center ก็เลยเข้าไปร่วมในเรื่องของการซื้อขาย ข้อมูลมาถึงการจับกลุ่มผู้ที่ซื้อขายข้อมูลได้ แต่ก่อน จับได้เฉพาะตัวมิจฉาชีพที่เป็นหลอกเขาโดยตรง แต่ คนที่เอาข้อมูลไปหาเขานี่ไปดำเนินการอะไรเขาไม่ได้ เลย ซึ่งตัวนี้คือปัญหาคือต้นตอ เราก็เข้าไปจัดการ คือ ตรงนี้ก็ต้องคิดมาตรการใหม่ขึ้นมาจัดการ

การป้องกันเชิงรุกคือมาตรการที่ทำก่อนที่เกิด ความเสียหาย เราก็มีแผนไปจัดการถึงสาเหตุของมัน การละเมิดมันมีใครที่เกี่ยวข้องบ้าง แล้วเราก็ไป จัดการ อันนี้ผมก็เสนอเป็นนโยบาย หนึ่งเราก็ต้อง จัดการกับผู้ละเมิดให้ได้ก่อน คนที่จ้องอันนี้เราก็ใช้ วิธีการเฝ้าระวัง แล้วก็ถ้าพบความเสี่ยงเราก็แจ้งให้เขา แก้ไข ก็คือเราก็เอาหลักกฎหมายบอกเป็นหน้าที่ เรา ต้องเข้าไปสร้างสภาพแวดล้อมในหน่วยงานของแต่ละ คน หนึ่งก็คือละเมิดจากคนนอกเข้ามา สอง หน่วยงาน มีสภาพแวดล้อมไม่ดีมีช่องโหว่ เราก็เข้าไปกำกับดูแล ให้เขามีการดูแลตัวเอง อันนี้เข้าไปตรวจแนะนำมีครบ ไหม และสาม ตัวเจ้าของข้อมูลผู้ที่ถูกหลอก อันนี้ ก็ต้องเข้าไปสร้างความตระหนักรู้ให้กับตัวเจ้าของ ข้อมูลไม่ให้ถูกละเมิดและไปละเมิดผู้อื่น ก็เกิดเป็น นโยบายป้องปรามจัดการกับผู้ละเมิด ป้องกันสร้าง สภาพแวดล้อมให้กับหน่วยงานปฏิบัติตามกฎหมาย ผนึกกำลังสร้างความรู้ให้กับเจ้าของข้อมูล

"ตอนแรกก่อนผมมาไม่มีใครทำตรงนี้เลย คือ จะมีทางด้านวิชาการอย่างเดียว ซึ่งมันไม่ไปสู่การ คุ้มครองโดยตรง อันนี้ผมถือว่าเป็นการคุ้มครอง โดยตรง ที่ผ่านมาก็เป็นโดยอ้อมหมด แต่ยังไงก็ตาม ถึงคุ้มครองโดยตรง กฎหมายเราเป็นกฎหมายการ ขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ มันไม่มีการบังคับแบบ เด็ดขาด เพราะว่าบังคับเด็ดขาดไม่ได้ทุกอย่าง เพราะบางทีคนเขาอาจจะไม่ได้มีเจตนา แล้วถ้าไป บังคับเขามากก็ทำให้เป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจ ปกติของเขา"

ตอนเป็นผู้อำนวยการอยู่ปีกว่าๆ พอจะจำตัวเลข การละเมิดและที่ลดลงมาเป็นอย่างไรบ้าง พ.ต.ต.สุรพงศ์ เปิดเผยว่า เราได้สร้างกลไกตรวจหาผู้ละเมิด จาก การสอบสวนเมื่อถามว่าเอาข้อมูลมาจากไหน เขาบอกว่า เอามาจากเว็บไซต์เผยแพร่ทั่วไป แล้วเมื่อเข้าไปดูด้วยเครื่องมือที่เราสร้างขึ้นมาค้นหาเมื่อปี 66 ในเดือนแรก เราเจอมีเลขบัตรประชาชน มีที่อยู่ มีเบอร์โทรศัพท์ ที่เป็นเครื่องมือให้มิจฉาชีพเอาไปหลอกลวงได้นี่ 1,000 เราเจอประมาณ 400ก็ประมาณ 40% เราก็สร้าง ระบบโปรแกรมอย่างที่บอก เจอเราก็แจ้งเอาลง เจอ ก่อนโจร ปัจจุบันจาก 40% เหลือไม่ถึง 1% ประมาณ 0.2% ส่วนหน่วยงานที่เข้ามาอยู่ในเครือข่ายร่วมกัน ตรวจสอบด้วยเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีเข้าร่วมแล้ว 3,000 หน่วยงาน จากเดิมที่มีไม่ถึงพัน ส่วนเรื่องความรู้ เราสร้างหลักสูตรแล้ว และตอนนี้ มี e-learning ที่พร้อมจะเผยแพรให้กับทุกคนแล้ว

ต่อข้อถามถึงความแตกต่างด้านการปฏิบัติงาน ระหว่างเป็นผู้อำนวยการฯ กับเมื่อขึ้นมานั่งเป็น เลขาธิการฯ เป็นอย่างไรบ้าง พ.ต.อ.สุรพงศ์ บอก ว่า ตอนเป็นผู้อำนวยการก็ลุยเดินหน้าปฏิบัติงาน อย่างเดียว บริหารก็แค่ภายในสำนักงานฯ แต่ว่าพอ เป็นเลขาธิการก็ต้องบริหารทั้งทุกสำนักงาน แล้วก็ มีเรื่องนโยบายภายใน ซึ่งหน่วยงานเรามาจากคนที่ หลากหลาย เพราะฉะนั้นแล้วตั้งแต่ค่านิยม ทัศนคติ เลขาธิการต้องดูแลทั้งหมด ซึ่งเดิมเหตุผลหนึ่งที่ท่าน เลขาฯ คนเดิมตัดสินใจลาออกไป ส่วนหนึ่งก็คือเรื่อง ภายในด้วย ซึ่งมีความเหนื่อยในแง่ของการทำความ เข้าใจกับพนักงานที่จะมาเข้าใจกันในหลายๆ เรื่อง

พอได้มานั่งเป็นเลขาธิการฯ แล้วมีนโยบายอะไร เป็นพิเศษหรือไม่ พ.ต.อ.สุรพงศ์ บอกว่า "เป้าหมาย พิเศษคือ หนึ่ง ต้องสร้างความเข้มแข็งภายใน ประเทศ แล้วต้องยกระดับสากลให้ได้ในรอบวาระ ของผม 4 ปีนี้ คือภายในเราต้องทำให้เกิดมาตรฐาน ขึ้นมาให้ได้ คือมาตรธานเกิดแล้วละ แต่ทำให้ทุกคนเข้าสู่มาตรฐานให้ได้ในประเทศ แล้วเราก็ต้องมี ความร่วมมือกันต่างประเทศในแง่ที่ว่ามาตรฐาน ของเราต้องเป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศ ตรงนี้ จะทำให้เกิดสมตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ก็ คือมาตรฐานเรื่องทางสังคมมีความปลอดภัย ซึ่ง ทางเศรษฐกิจในเวลาเขามีการค้าการลงทุนกับ เรา ก็มักจะถูกถามเรื่อง PDPA เพราะว่าเวลามี การค้าการลงทุนก็จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน อยู่แล้ว ก็จะทำให้มีความสะดวกในการที่ติดต่อ ค้าชายกัน เพราะเรามีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของ ต่างประเทศ"

ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการปราบปรามแก๊ง Call Center อย่างครึกโครมที่ผ่านมาอย่างไรหรือไม่ พ.ต.อ.สุรพงศ์ บอกว่า หน่วยงานของเราได้เข้าไป ตัดต้นต่อของสาเหตุ ในส่วนที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ให้เข้าไปอยู่ในมือของคนร้าย

ตอนนี้ก็ได้เข้าไปอยู่ในศูนย์บริหารเหตุการณ์เรื่อง แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แล้วก็เรื่องค้ามนุษย์ของรัฐบาล ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นฝ่ายเลขาฯ แล้วก็มี ส่วนร่วม AOC

อยากจะฝากอะไรถึงท่านผู้อ่านไหมครับ พ.ต.อ.สุรพงศ์ กล่าวว่า "อยากให้ทุกท่านให้ความ สำคัญกับข้อมูลส่วนบุคคลเพราะเป็นสิ่งที่ติดอยู่ กับตัวเราแล้วก็ใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าหากเรา ดูแลไม่ดีมันอาจจะสร้างความเสียหายให้เราเรียกว่า คิดมูลค่าไม่ได้ แต่ถ้าเราดูแลข้อมูลเราให้ดี ดูแลข้อมูล คนอื่นให้ดี ก็จะเป็นประโยชน์ในแง่ของการป้องกัน อาจจะกล่าวด้วยเป็นประโยชน์ในแง่ที่ทำให้ผู้ที่ ตัดสินใจมาลงทุนการค้าการธุรกิจกับท่าน ก็จะมี ความเชื่อมั่นในตัวเราด้วย ก็เรียกว่าถ้าไม่ดูแล อาจจะเสียหายมหาศาล แต่ถ้าดูแลดีก็เกิด ประโยชน์ทั้งทางด้านสังคม แล้วก็ถ้าพูดว่าเรา ทำกันทุกหน่วยงาน ทุกคน ก็จะสร้างขีดความ สามารถในการไปขายของประเทศเราได้ด้วยครับ"

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 กันยายน 2568
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
02 ต.ค. 2568
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก 461 นับแต่ภัยอาชญากรรมออนไลน์เริ่มอาละวาด หนักขึ้น ต้นเหตุหนึ่งก็มาจากข้อมูลส่วนบุคคลของ ประชาชนรั่วไหลไปถึงมือมิจฉาชีพ ซึ่งเกิดขึ้นได้ ทั้งการจงใจหลอกลวงหรือแม้กระทั่งหน่วยงานทั้ง ภาครัฐ-เอกชน รู้เท่าไม่ถึงการณ์ กฎหมายฉบับหนึ่ง จึงถูกตร...