ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
คอลัมนิสต์ / บทวิเคราะห์ ย้อนกลับ
จับตา กองทุน SML กว่า 10,000 ล้าน โครงการผักชีโรยหน้า-ละเลงงบลงกระเป้าใคร?
30 พ.ค. 2568

"จับตา" กองทุน SML กว่า 10,000 ล้าน

โครงการผักชีโรยหน้า-ละเลงงบลงกระเป้าใคร?

 

ดูเหมือนว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีนายกรัฐมนตรี ชื่อแพทองธาร ชินวัตร บริหารประเทศมาจะครบ 6 เดือนแล้ว ยังไม่มีผลงานเด่นที่จะโชว์อะไรเลย โครงการแจกเงิน10,000 บาทที่ประกาศในโชเชียลทุกวัน สุดท้ายก็โกหกประชาชน บอกงดไปก่อน เพราะสภาพัฒน์และแบงก์ชาติ เสนอว่า นำเงินไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ จะได้ฟื้นประเทศ ไม่เช่นนั้นประเทศพังรัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ 

 

โครงการสถานบริการครบวงจร หรือที่ชาวบ้านเรียกว่ากาสิโน ก็จะพยายามผลักดันให้ได้ เพราะคาดว่าจะได้เม็ดเงินมหาศาลมาสร้างประเทศ แต่คนค้านกันทั้งประเทศ ซ้ำร้ายการเมืองเองก็เล่นกันแรงมาก ทั้งๆ ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน อาจจะถึงขั้นแตกหักล้างไพ่กันใหม่ รอดูกันว่าไม่เกิน 3 เดือนประเทศเปลี่ยนแปลงใหญ่แน่นอน 

 

มีอยู่โครงการหนึ่ง ไม่สานต่อก็ไม่ได้ เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่มัดมือชกให้ประชาชน หากมีการเลือกตั้งใหม่หรือแม้กระทั่งอยู่ครบเทอม นั่นคือ โครงการ SML 

 

จะบอกว่างานนี้เปิดตัวยิ่งใหญ่ที่เมืองทองธานี นายกฯ เป็นประธาน ขณะที่วันนั้นเป็นวันแรงงานแห่งชาติ ซึ่งทุกครั้งนายกรัฐมนตรีต้องไปเป็นประธานและร่วมงานกับขบวนการแรงงานไทย แต่ไม่เห็นหัว เมื่อคนงานได้ทวงถามเรื่องขึ้นค่าจ้าง 400 บาท นายกฯ ยิ้มแล้วเดินหนีไปเลยโดยไม่ตอบ

 

มาดูโครงการนี้กันหน่อยว่า สำคัญเพียงใดกับรัฐบาลนี้ !!

 

หากย้อนไปดูข้อมูลเก่าพบว่า กองทุนหมู่บ้านเริ่มต้นเมื่อปี 2544 คนที่เป็นนายกฯ ช่วงนั้นคือนายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อนั่นเอง ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อการเมืองโดยเฉพาะ เพราะจะมีการเลือกตั้งใหญ่ "ทักษิณ" ได้ชูโครงการนี้ขึ้นมา ถึงขั้นประกาศสวยหรูว่า "นี่คือการพลิกฟื้นหมู่บ้าน (Empowerment) ให้มีพลังในการขับเคลื่อน สู่การแก้ไขปัญหาความยากจนและการสร้างโอกาสให้แก่ประชาชนอย่างยั่งยืนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง" 

 

ตั้งเป้าโครงการต้นแบบนำร่องในหมู่บ้าน/ชุมชนไว้ จำนวน 1,024 แห่ง ทั่วประเทศ ด้วยงบประมาณ 253 ล้านบาทช่วงนั้น ในที่สุด เมื่อปลายปี2547 ก่อนศึกเลือกตั้งใหญ่ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2548 พรรคไทยรักไทยชนะอย่างท่วมท้น หลังจากนั้นรัฐบาลทักษิณ ใช้กลไกของสำนักงานพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้าน/ชุมขน (SML) หว่านเงินให้ใช้ฟรีๆ ลงในหมู่บ้าน/ชุมชน ในปีงบประมาณ 2548จำนวน 9,000 ล้านบาท และโอนงบประมาณ

ปี 2549 จำนวน 7,063 ล้านบาท และยังจะต้องใช้งบประมาณปี 2549 โอนเงินให้แก่หมู่บ้าน-ชุมขนอีกจำนวน 1,840 ล้านบาท รวมเม็ดเงินของโครงการทั้งสิ้น จะตกประมาณ 18,156 ล้านบาท 

 

หลังจากนั้น กองทุน SML กลายเป็นเครื่องมือล่อประชาชน ให้มาสนับสนุนพรรคตัวเองตลอดมาโดยที่พรรคไม่ต้องควักกระเป้า แต่เอางบประมาณมาหาเสียงไว้ล่วงหน้า ซึ่งจริงๆ แล้ว กกต. ไปดูกฎหมายประเด็นนี้ น่าจะผิดเสียด้วยซ้ำ 

 

พื้นที่ไหนที่เป็นของพรรคไทยรักไทย ขณะนั้น สส.ทุกคนในเขตพื้นที่นำกองทุนนี้ไปขยายผลอย่างโจ่งครึ่ม 

 

คงจำกันได้ การบริหารประเทศยุคนายทักษิณบอกว่า "จังหวัดไหนไม่เลือกพรรคเราจะไม่ให้งบประมาณ" และคงจำภาพนายทักษิณทำตัวเป็นนกขมิ้น ค่ำไหนนอนนั่นอยู่กับชาวบ้าน และทุกคนยังจำ "อาจสามารถโมเดล" จังหวัดร้อยเอ็ด ที่นำร่องชุมชนยากจนให้ฟื้นชีวิตขึ้นมา ลองไปดูปัจจุบันผ่านมากว่า 20 ปี ยังเป็นพื้นที่ยากจนอยู่หรือไม่ หลังจากนั้นกองทุนนี้ได้ทำกันแบบเงียบๆไม่หวือหวา 

 

มาวันนี้รุ่นลูกเป็นนายกรัฐมนตรีได้ชูโครงการนี้อีกครั้ง ด้วยงบประมาณกว่าหมื่นล้านบาท ปัดฝุ่นให้เอิกเกริก เพราะหวังจะเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งในการโชว์ว่า เป็นผลงานช่วยคนรากหญ้าได้อ้าปากขึ้นอีกครั้ง แต่ที่เห็นกันกองทุนนี้ในอดีตไม่ได้สร้างงานสร้างอาชีพที่ยั่งยืนให้กับชุมชนแต่อย่างใด เพราะเงินกองทุนส่วนใหญ่ไปได้กับผู้รับเหมานักการเมืองท้องถิ่นและระดับชาติที่มีอิทธิพล โดยต่างได้รับงานจากเงินกองทุนนี้แทบทั้งสิ้น

 

จนถึงขณะนี้ก็ยังเป็นแบบนี้ ไม่ต่างจากเมื่อสมัยที่นายทักษิณเป็นนายกฯ ชี้ให้เห็นว่าประชาชนก็ยังยากจน

 

ข้อมูลปัจจุบันมีทาง สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) ได้ระบุว่า ขณะนี้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองมีกว่า 79,610 แห่ง มีสมาชิกกว่า 13 ล้านคน และมีเงินทุนหมุนเวียนรวมกันกว่า 3 แสนล้านบาท ซึ่งในวันนี้มีโครงการสนับสนุน เสริมสร้างศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองอย่างมั่นคง หรือ โครงการ SML ดูในหลักการแล้วน่าจะดีและชุมชนยั่งยืนไปนานแล้วด้วย เพราะหัวใจของโครงการนี้ไม่ใช่แค่การแจกเงินให้ชุมชน แต่สามารถมองเห็นว่าโครงการเล็กๆ นี้มีผลต่อประชาชน

 

เริ่มจากการดูจำนวนของประชาชนในแต่ละหมู่บ้านก่อน เพื่อที่จะกำหนดงบประมาณในการช่วยเหลือ โดยกำหนดงบประมาณไว้ตามขนาดไว้ ดังนี้

 

1. ขนาดหมู่บ้านและชุมชนเมือง ขนาด 5 ประชากรไม่เกิน 500 คน จัดสรรเงิน 200,000 บาท 2.ขนาดหมู่บ้านและชุมขนเมือง ขนาด M ประชากร 501-1,000 คน จัดสรรเงิน 300,000 บาท และ 3. ขนาดหมู่บ้านและชุมชนเมือง ขนาด L ประชากร 1,001 คนขึ้นไป จัดสรรเงิน 400,000 บาท ส่วน

คุณสมบัติมีกำหนดไว้คือ 1. เป็นกองทุนหมู่บ้านที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล

 

2. เป็นกองทุนหมู่บ้านที่ส่งงบการเงินรอบปีบัญชีล่าสุดและรอบปีบัญชีก่อนหน้าให้สำนักงานต่อเนื่อง 2 ปี (ปี 2566-2567)

 

3. มีคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านที่ได้รับการคัดเลือกและรับรองให้เป็นคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและอยู่ในวาระการดำรงตำแหน่งโดยถูกต้องตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ว่าด้วยการจัดตั้งและบริหารกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. 2551

 

หลักเกณฑ์การจัดประชุมประชาคม กองทุนหมู่บ้านที่มีคุณสมบัติและมีความประสงค์ขอรับจัดสรรงบประมาณโครงการ ต้องจัดให้มีการประชุมประชาคม เพื่อนำเสนอโครงการตามวัตถุประสงค์โดยองค์ประชุมประชาคมให้ประกอบด้วย 1.ผู้แทนครัวเรือนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนครัวเรือนทั้งหมด 2. สมาชิกกองทุนหมู่บ้านไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกกองทุนหมู่บ้านทั้งหมด โดยผู้แทนครัวเรือนและสมาชิกกองทุนหมู่บ้านสามารถเป็นบุคคลเดียวกันได้ นี่คือภาพของชุมชนที่จะได้รับเงินไปพัฒนาพื้นที่ตัวเอง

 

ที่น่าจับตามองกองทุน SMLขณะนี้ เป็นเม็ดเงินที่พรรคเพื่อไทยดูแลเอง โดยให้ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายประเสริฐ จันทรวงทอง ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล ส่วนตัวนายกฯ ที่เป็นประธาน ล้วนอยู่พรรคเดียวกัน ทำให้คนทั่วไปมองว่า การบริหาร

จัดการควบคุมกระจายเงินให้ สส.ลูกพรรคในพื้นที่ทำได้ง่ายและสะดวก การตรวจสอบที่ผ่านมาก็ยากล่าช้า หรือไม่สามารถจับมือใครดมได้เลย มีโครงการจำนวนมากของ SML ที่ยังอยู่ในการพิจารณาขององค์กรตรวจสอบของรัฐ ก็ยังไม่มีความคืบหน้าเช่นกัน

 

ขอยกตัวอย่าง ชาวบ้านใหญ่ หมู่ 10 ตำบล หนองบัวตะเกียด อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ร้องขอให้ติดตามเงินของกองทุนปุ๋ยในโครงการ SML และเงินของกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตฯ ที่ถูกตรวจพบว่า มีการทุจริต โดยผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการฯ ได้ทำบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้ ยืนยันจะขดใช้เงินรวมแล้วประมาณ 700,000 บาท ชาวบ้านจึงต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้มาตรการเข้มงวดเร่งรัดตรวจสอบ เคสนี้เกิดเมื่อปี 2563 บัดนี้ขาวบ้านได้คืนหรือยัง เป็นต้น ซึ่งน่าจะมีอีกมาก โครงการที่มีการทุจริต คดโกง ไม่โปร่งใส 

 

ที่น่าเป็นห่วง ก็เห็นจะเป็นเรื่องงบที่นำเสนอและได้รับมานั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มของผู้นำท้องถิ่นที่เป็นหัวคะแนนของพรรคการเมือง ซึ่งมักจะเป็นผู้รับเหมาเปิดบริษัท มีธุรกิจร้านค้า เพื่อรับซื้อหรือจัดซื้อ จัดจ้าง แทบทั้งสิ้น

 

ซ้ำร้ายกระบวนการตรวจสอบ ที่โครงสร้างขององค์กรในระดับเขตและพื้นที่ ก็เป็นคนที่เป็นกลุ่มเดียวกันช่วยเหลือกันต่างตอบแทน ยิ่งง่ายต่อการทุจริตงบ SML 

 

แต่ละปีนักวิชาการหลายสำนัก รวมทั้งนักพัฒนาชุมชนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "งบละลายแม่น้ำ" เพราะหายไปกับสายลม หัวใจของโครงการที่ต้องการคือความยั่งยืนและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ยกระดับเศรษฐกิจในชุมชนดีขึ้นแต่สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่คือ ชากปรักหักพังที่อยู่คู่กับชุมชน ศาลาพัก โต๊ะ เก้าอี้ เต็นท์ เครื่องครัว ถนนเข้าวัด เป็นต้น ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับชุมชนเลย

 

ขออย่าให้เป็นเช่นกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีในยุคนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีการทุจริตมโหฬาร ถึงขั้นถลุงเงินกันหมดหน้าตัก มีเรื่องร้องเรียนโผล่มายุบยับ จนตอนนี้ไม่รู้ว่า กองทุนพัฒนาบทบาทสตรียังมีอยู่หรือไม่ เพราะยังไม่มีใครตีปี๊บให้ได้ยินอีก 

 

หวังแต่เพียงว่า ผู้บริหารกองทุน SMLคนใหม่จะออกหน้ามาเปิดภาพลักษณ์ขององค์กรให้มากกว่านี้ อย่าทำตัวเหมือนแดนสนธยา ทุกอย่างรู้กันในกลุ่มพวกของตัวเองเท่านั้น อย่าลืมว่า "รัฐบาลพังไม่เป็นไร แต่ประเทศจะต้องไม่พังไปด้วย"

 

ดังนั้น หาก กทบ. มีผลงาน "เด่น-ดี-ดัง" จะออกมาช่วยรัฐบาล "ตีบีบ" บ้างก็ได้นะ ด้วยการเผยแพร่และขยายผลงานที่ทำ ให้คนทั่วไปได้รับรู้ เพราะทุกวันนี้ รัฐบาลเองก็เหนื่อยกับปัญหาการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจ จะแย่อยู่แล้ว !!"

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 31 พฤษภาคม 2568
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
27 พ.ค. 2568
หากจะพูดถึง “ภาพยนตร์ไทย” แล้ว ผ่านสถานการณ์ลุ่มๆ ดอนๆ มาเป็นระยะ นั่นอาจเป็นเพราะมีปัญหาด้วยกันหลายด้าน แต่ที่สำคัญก็คือ “ความนิยม” ที่ได้รับจากผู้ชมชาวไทย แต่ก็ใช่ว่า ภาพยนตร์ไทยจึงถึง จุดอับเป็นเสียทีเดียว เพราะก็มีบางเรื่อง “...