กรมการขนส่งทางบก เตือนรถกระบะดัดแปลงรถเสริมแหนบเพื่อใช้งานบรรทุกน้ำหนักมากขึ้น เกินกว่าสมรรถนะและมาตรฐานความปลอดภัย เสี่ยงอันตรายทั้งต่อตนเองและผู้ใช้ถนนอื่น
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีรถบรรทุกส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ (รถกระบะ) มีการต่อเติมตัวถังและแก้ไขดัดแปลงระบบรองรับน้ำหนักโดยการเสริมแหนบ เพื่อให้บรรทุกน้ำหนักเกินกว่าสมรรถนะรถที่ผู้ผลิตรถได้ออกแบบไว้ตามมาตรฐานความปลอดภัย ทำให้เกิดอันตรายต่อการใช้รถใช้ถนน เช่น การควบคุมรถขาดประสิทธิภาพเนื่องจากใช้ระยะเบรกที่ยาวขึ้น เพลาหัก ยางระเบิด หรือรถเสียการทรงตัว เป็นต้น เนื่องจากผู้ผลิตรถได้ออกแบบส่วนประกอบและโครงสร้างของรถทั้งคันให้มีสมรรถนะในการรองรับน้ำหนักรถ ตามค่าน้ำหนักที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ รวมถึงระบบห้ามล้อที่มีสมรรถนะในการทำงาน และระยะห้ามล้อสำหรับค่าน้ำหนักรถตามที่กำหนดไว้เช่นกัน โดยเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยที่กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กำหนดไว้
ดังนั้น เพื่อให้การใช้งานรถดังกล่าวเป็นไปด้วยความปลอดภัยทั้งต่อผู้โดยสารในรถและผู้ใช้ถนนอื่น ขบ. จึงกำชับให้เจ้าของรถที่ทำการแก้ไขดัดแปลงตัวรถหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของรถให้ผิดไปจากรายการที่จดทะเบียนไว้ ต้องนำรถเข้าตรวจสภาพกับ ขบ. และแก้ไขรายละเอียดลักษณะรถในใบคู่มือจดทะเบียนรถก่อนนำไปใช้งานโดยนำรถเข้าดำเนินการทางทะเบียน สำหรับการแก้ไขระบบรองรับน้ำหนัก (เสริมแหนบ) เจ้าของรถจะต้องแนบเอกสารหลักฐานสำคัญเพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาต ดังนี้
1) หนังสือรับรองความมั่นคงแข็งแรงในการแก้ไขดัดแปลงระบบเสริมแหนบ โดยวิศวกรเครื่องกลระดับสามัญวิศวกรขึ้นไป ตรวจสอบและยืนยันว่าโครงคัสชี ระบบรองรับน้าหนัก ระบบห้ามล้อ เพลาล้อ กงล้อและยาง สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีเสถียรภาพในการควบคุมที่ดี และมีความปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดอันตรายขณะใช้งาน
2) ภาพถ่ายวิศวกรถ่ายคู่กับรถในระหว่างทำการควบคุมดูแลการแก้ไขเพิ่มเติมหรือดัดแปลงรถโดยการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามระเบียบ ขบ. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การขออนุญาตและการอนุญาตให้ใช้รถที่ทำการแก้ไขเพิ่มเติมหรือดัดแปลงตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. 2522
อธิบดี ขบ. กล่าวทิ้งท้ายว่า ขบ. มีความห่วงใยในความปลอดภัยของประชาชน จึงขอเตือนให้เจ้าของรถตระหนักถึงความเสี่ยงในการดัดแปลงรถ และการใช้งานบรรทุกน้ำหนักที่เกินกว่าสมรรถนะและมาตรฐานที่ผู้ผลิต และ ขบ. กำหนด ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนต่อผู้ใช้ถนนทุกคน