นพ. สุภโชค เวชภัณฑ์เภสัช หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีผู้ย้ายถิ่นที่อยู่ในสถานะไม่ปกติประมาณ 1.8 ล้านคน และมีแรงงานข้ามชาติจำนวนมากที่ยังไม่สามารถเข้าถึงระบบประกันสุขภาพ ทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคติดต่อ เช่น วัณโรค มาลาเรีย และเอชไอวี เป็นต้น ซึ่งเมื่อผู้ย้ายถิ่นไม่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุข จะทำให้สุขภาพของทุกคนตกอยู่ในความเสี่ยงเช่นกัน ประเทศไทยจึงเดินหน้าขยายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้ครอบคลุมผู้ย้ายถิ่นและกลุ่มประชากรเคลื่อนย้าย รวมถึงประสานความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ และองค์การระหว่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการดูแลประชากรกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง
นพ.สุภโชค กล่าวต่อว่า จากรายงานการโยกย้ายถิ่นฐานของประเทศไทย พ.ศ. 2567 มีผู้ย้ายถิ่นเข้าสู่ประเทศไทย กว่า 1.1 ล้านคน และเกือบร้อยละ 40 เดินทางผ่านจังหวัดตาก ทำให้ระบบสาธารณสุขในพื้นที่ต้องรองรับภาระที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ย้ายถิ่นที่อยู่ในภาวะเปราะบางยังคงมีอุปสรรคในการเข้าถึงบริการสุขภาพ ทั้งจากข้อจำกัดทางภาษา สถานะทางกฎหมาย ตลอดจนการเข้าถึงข้อมูล กระทรวงสาธารณสุข จึงร่วมกับ องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ประเทศไทย จัดโครงการเสริมสร้างการกำกับดูแลสุขภาพผู้ย้ายถิ่นระดับท้องถิ่นและสนับสนุนการเข้าถึงบริการสุขภาพของผู้ย้ายถิ่นในพื้นที่จังหวัดตาก ระยะเวลา 2 ปี เพื่อยกระดับการบริหารจัดการด้านสุขภาพผู้ย้ายถิ่น โดยมุ่งให้ผู้ย้ายถิ่นและชุมชนชายแดนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นได้มากขึ้น
ด้าน ดร. ลีน่า บันดารี หัวหน้าแผนกสุขภาพผู้ย้ายถิ่น IOM ประเทศไทย กล่าวว่า การนำร่องโครงการในจังหวัดตากครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ย้ายถิ่นและชุมชนตามแนวชายแดนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็น โดยการดำเนินการ ประกอบด้วย 1) เสริมศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) เพื่อทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างชุมชนผู้ย้ายถิ่นและผู้ให้บริการสุขภาพ 2) เสริมกำลังบุคลากรสาธารณสุขแนวหน้าและโรงพยาบาลชายแดน เช่น โรงพยาบาลแม่สอด และ 3) พัฒนาความร่วมมือข้ามพรมแดนด้านระบบเฝ้าระวังโรค การแลกเปลี่ยนข้อมูล และการบริหารจัดการความเสี่ยง