สวัสดีครับผม อ.ดร.ต้นรัก ธวัชชัย สุขสีดา ในฐานะที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการศึกษาการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้เท่าทันต่อโลกดิจิทัล รัฐสภา ขอใช้พื้นที่ในบทความนี้เพื่อส่งสัญญาณเตือนภัยสำคัญให้กับประชาชน ที่กำลังถูกคุกคามชีวิตและทรัพย์สินอยู่ในโลกออนไลน์ จาก "แก๊งสแกมเมอร์" หรือ "มิจฉาชีพทางไซเบอร์" เพื่อที่จะได้รู้จักวิธีการป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์ที่ยั่งยืน โดยในปัจจุบันปี พ.ศ. 2568 ภัยจากแก๊งสแกมเมอร์ได้วิวัฒนาการไปไกลกว่าที่เราเคยรู้จัก พวกเขาไม่เพียงแต่ใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่าง AI และ Deepfake ในการสร้างเรื่องหลอกลวงที่แนบเนียน ๆ แต่ยังใช้ "ความเข้าใจ" ในสถานการณ์ปัจจุบันและช่องว่างทางกฎหมายเพื่อเจาะเข้าสู่ความเชื่อมั่นของประชาชน จนสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศในระดับแสนล้านบาทต่อปี
เทคโนโลยีดิจิทัลได้นำความสะดวกสบายมาให้เรามากมายก็จรอง แต่เหรียญย่อมมีสองด้าน เมื่อใดที่เราก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์อย่างไม่ระมัดระวัง เรากำลังเปิดประตูรับความเสี่ยงที่ร้ายกาจที่สุดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งก็คือการถูกหลอกลวงให้โอนเงิน หรือให้ข้อมูลส่วนตัว จนนำไปสู่ความเสียหายที่ยากจะเยียวยา
ถึงเวลาแล้วที่เราประชาชนทุกคนต้องมองภัยเหล่านี้อย่างละเอียด และสร้างภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์ในระดับรากฐานของการใช้ชีวิตด้วย ‘ปาฏิหาริย์ดิจิทัล’ ดังนั้นผมขอพาไปถอดรหัสเงาที่ซ่อนเร้นของเหล่ามิจฉาชีพที่มีอยู่ในโลกดิจิทัล โดยไขกลโกงสแกมเมอร์ยุค 2568 และวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์ให้ยั่งยืน จากมุมมองเหล่านี้กันครับ
1. “ร่างทรง” มิจฉาชีพ เมื่อ AI เข้ามาเป็นอาวุธหลัก หากก่อนหน้านี้มิจฉาชีพใช้แค่โทรศัพท์ แต่ ณ วันนี้ พวกเขามีเครื่องมือใหม่ที่ทรงพลังที่สุดคือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคนิคการสร้างของปลอมที่สมจริง (Deepfake)
ซึ่งกลโกงที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ Deepfake Identity Scam พวกเขาใช้ AI สังเคราะห์เสียงและใบหน้าของ "คนที่คุณรัก" เช่น ลูกหลานที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ หรือญาติสนิท โทรมาด้วยเสียงที่เหมือนจริงเกือบ 100% เพื่ออ้างเหตุฉุกเฉิน ขอให้โอนเงินช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน นี่คือการโจมตีทางอารมณ์ที่ร้ายแรงที่สุด เพราะเรามักขาดสติยับยั้งชั่งใจเมื่อเป็นเรื่องของคนที่เรารัก
วิธีป้องกันเชิงลึก เมื่อเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้ ให้ตั้งสติและ ตั้งคำถามลับ ที่มีเพียงเรากับบุคคลนั้นที่รู้ (เช่น ชื่อสัตว์เลี้ยงตัวแรก, สถานที่ที่เคยไปเที่ยวด้วยกัน) หรือขอให้วิดีโอคอลแบบสด ๆ ที่ไม่ใช้แอปพลิเคชันที่ระบุชื่อปลอมได้)
และอีกเรื่องที่สำคัญคือเรื่อง QR Code ข้ามแดน (Cross-Border QR Scam) มิจฉาชีพจะหลอกให้เรา "สแกนจ่าย" ค่าสินค้าหรือบริการที่ดูดีเกินจริง (เช่น การลงทุน หรือการซื้อสินค้าราคาพิเศษ) เมื่อสแกน ระบบจะแสดงยอดเงินบาท แต่ความจริงคือเป็นการโอนเงินไปยังบัญชีปลายทางใน สกุลเงินต่างประเทศ ทันที ซึ่งยากต่อการตรวจสอบและอายัดเงินคืนตาม พ.ร.ก. ไซเบอร์ เนื่องจากเป็นการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน
2. มิจฉาชีพหลอกลวงใน “ร่างโครงการรัฐ” และ “บัญชีม้าในคราบนิติบุคคล" ซึ่งมิจฉาชีพมักจะฉวยโอกาสจากโครงการของรัฐบาลที่ประชาชนให้ความสนใจ เช่น โครงการสวัสดิการต่าง ๆ หรือการลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ เพื่อหลอกให้เหยื่อ "กดลิงก์" ปลอม
มุกคนละครึ่งพลัส โครงการสวัสดิการ ส่ง SMS หรือข้อความ Line อ้างว่าท่านได้รับสิทธิ์พิเศษเพิ่มเติม แต่ต้อง "กดลิงก์" เพื่อยืนยัน หรือ "โหลดแอปฯ" เพื่อรับเงิน สุดท้ายคือการติดตั้ง Malware ที่แฝงตัวในเครื่องเพื่อดูดข้อมูลการเงิน (Banking Trojan)
ย้ำเตือนเลยนะครับ โครงการของรัฐ ไม่เคย มีการส่งลิงก์เพื่อให้ประชาชนกดลงทะเบียนสิทธิผ่านทาง SMS หรือข้อความใด ๆ การดำเนินการที่ถูกต้องต้องทำผ่านแอปพลิเคชันทางการที่เชื่อถือได้เท่านั้น
และยังมีบัญชีม้าโดยสวมชุดบริษัท มิจฉาชีพใช้กลโกงหลอกให้เราโอนเงินเข้า บัญชีม้าที่เป็นชื่อนิติบุคคลหรือบริษัทปลอม ที่พวกเขาสร้างขึ้นมา ซึ่งดูน่าเชื่อถือกว่าบัญชีบุคคลธรรมดามาก และทำให้หน่วยงานรัฐตรวจสอบยากขึ้นในขั้นตอนแรกของการอายัดเงิน
3. เกราะป้องกัน ‘3 ชั้น’ ที่ประชาชนอย่างเราต้องสร้างให้แข็งแกร่ง นอกเหนือจากการระมัดระวังส่วนตัวแล้ว ประชาชนต้องเข้าใจ "ความร่วมมือ" ระหว่างเรากับหน่วยงานที่กำกับดูแล
ชั้นที่ 1 การตั้งสติและตระหนักถึง “กฎทองของการเงิน”
* ไม่โอนเงินเพื่อ ‘พิสูจน์ความบริสุทธิ์’: ไม่มีกฎหมายหรือหน่วยงานใดที่ให้ประชาชนโอนเงินออกจากบัญชีเพื่อ "ตรวจสอบ" "ยืนยัน" หรือ "แก้ไข" ข้อมูลใด ๆ
* ไม่บอก OTP และรหัสผ่านส่วนตัว รหัส OTP คือกุญแจสำคัญในการโอนเงิน ห้ามบอกใครเด็ดขาด หากมีคนโทรมาขอ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นมิจฉาชีพทันที
ชั้นที่ 2 ใช้เครื่องมือทางกฎหมายและเทคโนโลยีให้เป็น
* รู้สิทธิ์ภายใต้ พ.ร.ก. ไซเบอร์ (ฉบับที่ 2) ปี 2568 ปัจจุบันกฎหมายได้ถูกยกระดับขึ้น โดยเฉพาะการบังคับใช้กับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) ให้มีหน้าที่คัดกรองและระงับธุรกรรมที่ต้องสงสัยเช่นเดียวกับธนาคาร นอกจากนี้ยังมีการกำหนดให้สามารถขอข้อมูลจากกระเป๋าเงินดิจิทัลเพื่อ "ป้องกัน" และ "ปราบปราม" ได้
* โทรแจ้งความและอายัดได้ในจุดเดียว" (One-Stop Service) หากตกเป็นเหยื่อ ให้รีบโทรแจ้ง สายด่วน 1441 ทันที ซึ่งเป็นศูนย์ปฏิบัติการและประสานงานร่วมกับธนาคาร เพื่ออายัดบัญชีม้าให้เร็วที่สุด ความเร็วคือสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันความเสียหายที่เพิ่มขึ้น
ชั้นที่ 3: ความร่วมมือกับชุมชนและท้องถิ่น ภัยไซเบอร์ได้แทรกซึมถึงระดับครอบครัวและชุมชน ผู้นำท้องถิ่น (อปท.) ต้องเข้ามามีบทบาทในการเป็น "นักประชาสัมพันธ์ไซเบอร์"
* รณรงค์ให้ความรู้รูปแบบกลโกงใหม่ ๆ ผ่านหอกระจายข่าว หรือช่องทางประชาสัมพันธ์ของท้องถิ่นอย่างสม่ำเสมอ
* ช่วยเป็น "ผู้ตรวจสอบ" ให้กับผู้สูงอายุในชุมชนที่ไม่ถนัดเทคโนโลยี เมื่อมีข้อความหรือโทรศัพท์น่าสงสัยเข้ามา
จากการการถอดรหัสเงามิจฉาชีพทางไซเบอร์ที่ซ่อนเร้นมาในรูปแบบของกลโกงสแกมเมอร์ยุค 2568 ผมขอสรุปว่า “ดิจิทัลต้องมาพร้อมสติ” เพราะโลกดิจิทัลคือเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่พลังอำนาจนี้ต้องมาพร้อมกับความเข้าใจและความระมัดระวังที่เท่าทัน ผมขอให้พี่น้องประชาชนทุกท่านตั้งสติให้มั่น ตรวจสอบให้ละเอียด และอย่าหลงเชื่อใน "ปาฏิหาริย์ดิจิทัล" ที่มักซ่อนเงาของมิจฉาชีพไว้เบื้องหลัง เราจะร่วมกันสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืนไปด้วยกันครับ ด้วยความห่วงใยอย่างยิ่ง อ.ดร.ต้นรัก ธวัชชัย สุขสีดา