ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
พลังงาน / สิ่งแวดล้อม ย้อนกลับ
IRPC กำไรไตรมาส 3/2568 เดินหน้ายุทธศาสตร์ “4R” สู่เติบโตอย่างยั่งยืน
05 พ.ย. 2568

5 พฤศจิกายน 2568 – นายเทอดเกียรติ พร้อมมูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท  ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ มีรายได้จาก  การขายสุทธิ 57,938 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,136 ล้านบาท หรือร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น และปริมาณขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 สำหรับ *ธุรกิจปิโตรเลียม*  มีกำไรขั้นต้นจากการกลั่นตามราคาตลาด (Market Gross Refining Margin: Market GRM) ที่เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โดยหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานเทียบกับราคาน้ำมันเตาปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องด้วยราคาน้ำมันเตาที่ปรับตัวลดลง และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้นจากความกังวลด้านอุปทาน ซึ่งได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียกับประเทศยูเครน *ธุรกิจปิโตรเคมี* มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาดของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี (Market Product to Feed: Market PTF) ลดลงเล็กน้อย จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มปรับตัวลดลง ตามสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซาและอุปทานที่ยังมีปริมาณมาก ในขณะที่กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคมีกำไรขั้นต้นคงที่จากการขายไฟฟ้าและ ไอน้ำ ส่งผลให้บริษัทฯ     มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 5,493 ล้านบาท หรือ 9.04 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาส 2/2568 ประกอบกับสถานการณ์น้ำมันดิบในไตรมาส 3/2568 ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียกับประเทศยูเครน ส่งผลให้บริษัทฯ มี Net Inventory Gain รวม 502 ล้านบาท หรือ 0.83 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี  ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 3,029 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,806 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2568 ในไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ บันทึกกำไรจากการด้อยค่าและจำหน่ายทรัพย์สิน 133 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2568 ที่บันทึกขาดทุน 157 ล้านบาท ประกอบกับบริษัทฯ บันทึกกำไรจากการลงทุน 210 ล้านบาท  ลดลงร้อยละ 9 จากไตรมาสก่อน จากปัจจัยที่กล่าวข้างต้น ส่งผลให้ในไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 340 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2568 ที่มีขาดทุนสุทธิ 2,132 ล้านบาท งวด 9 เดือนปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิจำนวน 176,964 ล้านบาท จากราคาขายเฉลี่ยลดลงร้อยละ 15 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง และปริมาณขายลดลงร้อยละ 4  บริษัทฯ มี EBITDA จำนวน 4,848 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ บันทึกค่าเสื่อมราคา 7,049 ล้านบาท โดยหลักเป็นผลจากสินทรัพย์ที่เพิ่มจากโครงการ Ultra Clean Fuel (UCF) โดยงวด 9 เดือนปี 2568 บริษัทฯ บันทึกขาดทุนจากการลงทุนจำนวน 215 ล้านบาท ส่งผลให้ในงวด 9 เดือน ปี 2568 บริษัทฯ บันทึกผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 2,998 ล้านบาท น้อยกว่างวดเดียวกันของปีก่อน 1,070 ล้านบาท

นายเทอดเกียรติ กล่าวต่อไปว่า IRPC ได้ดำเนินแผนยุทธศาสตร์ “4R” ปี 2568 – 2573 ประกอบด้วย Re-capitalize, Re-vitalize, Re-invent และ Re-frame กลยุทธ์ในการขับเคลื่อนความสามารถในการทำกำไรและสร้างความยั่งยืนทางการเงินของบริษัทฯ ในระยะยาวอย่างยั่งยืน โดยมีแนวทางสำคัญ ดังนี้*Re-capitalize: การบริหารจัดการทรัพย์สินที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก เพื่อเพิ่มศักยภาพและความมั่นคงทางการเงิน* IRPC มุ่งเพิ่มกระแสเงินสดและสร้างผลตอบแทน ผ่านการบริหารจัดการทรัพย์สินที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก (Non-core Assets Optimization) ให้เกิดมูลค่าสูงสุด เช่น โครงการพัฒนาที่ดินเพื่อดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลและที่พักเพื่อสุขภาพ (Health and Wellness) อ.เมือง จ.ระยอง โดยร่วมมือกับพันธมิตรเครือโรงพยาบาลบางปะกอกและปิยะเวท  โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อ.จะนะ จ.สงขลา และอื่น ๆ*Re-vitalize: การยกระดับประสิทธิภาพและสมรรถนะของธุรกิจหลัก* ได้แก่ ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี โดยเดินหน้าปรับโครงสร้างต้นทุนและกระบวนการปฏิบัติงาน (Operations Excellence) พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพเชิงพาณิชย์ (Commercial Excellence) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง ผ่านมาตรการสำคัญ เช่น การบริหารต้นทุน และการจัดหาวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพ การปรับโครงสร้างองค์กรและพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเสริมความร่วมมือกับลูกค้าและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์*Re-invent: การลงทุนในแหล่งรายได้ใหม่สร้างการเติบโตระยะยาวจากธุรกิจที่มีมูลค่าสูง* บริษัทฯมุ่งต่อยอดธุรกิจ Downstream โดยปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับความพร้อมด้านเงินทุน พร้อมรองรับความต้องการของตลาดในอนาคต*Re-frame: เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยแนวทางการเติบโตอย่างยั่งยืน* เร่งปรับเปลี่ยนองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ปรับโมเดลธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเสริมระบบการทำงานสู่มาตรฐานระดับสากล

*สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบและตลาดปิโตรเคมี ในไตรมาส 4/2568*   *สถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบ* คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันจะเผชิญกับความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม เช่น สภาวะตลาดแรงงานของประเทศสหรัฐฯ และการเจรจาการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ กับประเทศจีน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีปัจจัยสนับสนุนความต้องการใช้น้ำมันตามฤดูกาลในช่วงฤดูหนาวและช่วงเทศกาลปลายปี นอกจากนี้ การที่ FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.25 สู่ระดับร้อยละ 3.75 - 4.00 ในวันที่ 30 ตุลาคม 2568 อาจเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนความต้องการใช้น้ำมัน ในส่วนของอุปทาน คาดว่าการปรับเพิ่มการผลิตจาก Voluntary Cut ของโอเปกพลัส จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดน้ำมันดิบ ทั้งนี้ คาดว่าสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะยังไม่คลี่คลาย จะยังคงสร้างความไม่แน่นอนในตลาดน้ำมันดิบต่อไป

*สถานการณ์ตลาดปิโตรเคมี* คาดว่าความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังคงทรงตัวถึงปรับตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ทั้งนี้โดยปกติแล้วความต้องการจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 ถึงต้นไตรมาส 4 เพื่อรองรับการผลิตสำหรับฤดูการท่องเที่ยวและช่วงเทศกาลปลายปี แต่จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซาและความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ผู้ซื้อส่วนใหญ่ชะลอการซื้อหรือเลือกซื้อเท่าที่จำเป็น อีกทั้งกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นยังคงเป็นปัจจัยกดดันราคาตลาดอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตบางรายอาจพิจารณาปรับลดอัตราการผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับระดับความต้องการในตลาดและเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา

สำหรับการดำเนินงานด้าน ESG บริษัทฯ ได้รับรางวัล Climate Action Excellence Awards 2025 จากสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (CCI) สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรม และได้รับ รางวัลองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชนระดับ Gold ติดต่อกัน 2 ปีซ้อน จากกระทรวงยุติธรรม สะท้อนการเป็นองค์กรต้นแบบการดำเนินธุรกิจที่ยึดหลักสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียม

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 1 - 15 พฤศจิกายน 2568
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
15 ต.ค. 2568
กล่าวได้ว่าการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญต่อการปกครอง ในระบอบประชาธิปโตย และก็กล่าวได้อีกเช่นกัน ว่า รัฐธรรมนูญ 2540 คือต้นธารที่ส่งผลให้การ กระจายอำนาจสู่ห้องถิ่นของประเทศไทยมีความ สำคัญมากขึ้นมาเป็นลำดับซึ่งแม้ในตลอด 20 กว่าปี ที่ผ่านม...