พญ.มิ่งขวัญ สุพรรณพงศ์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ของวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี รวมถึงมีการสอบถามมายังองค์การเภสัชกรรมประเด็นการผลิตยาให้กับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ว่า ปัจจุบันจากการรายงานของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 มีผู้ป่วยเอดส์ จำนวน 551,293 ราย โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 16,923 ราย ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวีที่องค์การฯ เริ่มผลิตตั้งแต่ปี 2538 และองค์การฯ มีการวิจัยและพัฒนายาสูตรตำรับใหม่อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันเป็นจำนวนกว่า 40 ตำรับ ทั้งสูตรยาเดี่ยวและสูตรยาผสม ทั้งในรูปแบบยาเม็ด ยาแคปซูล และยาน้ำสำหรับรับประทาน เพื่อให้ครอบคลุมผู้ป่วยทั้งผู้ใหญ่และเด็ก โดยตระหนักถึงประสิทธิภาพในการรักษา การลดอาการไม่พึงประสงค์ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงยาของผู้ป่วย
ในปี พ.ศ. 2544 องค์การฯ ประสบความสำเร็จในการคิดค้นยาสูตรผสม (cocktail) ซึ่งถือเป็นยาใหม่ของประเทศไทยโดยรวมยา 3 ชนิดไว้ในเม็ดเดียวกัน เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาได้ง่ายขึ้น ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการได้รับยาไม่ครบซึ่งส่งผลทำให้เกิดการดื้อยาได้ องค์การฯไม่ได้ผลิตเพียงแค่ยาที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อไวรัสเอชไอวี/เอดส์เท่านั้น ในปี 2553 ยังเริ่มการวิจัยและพัฒนายาที่ใช้ในการป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ (Pre-Exposure Prophylaxis, PrEP) อีกด้วย การพัฒนาและผลิตยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างต่อเนื่องขององค์การฯ จึงเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันทำให้เกิดความสำเร็จในการยุติการแพร่เชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก ซึ่งเป็นประเทศแรกในเอเชียแปซิฟิก และประเทศที่ 2 ของโลก ในปี 2559
ปัจจุบันมียาต้านไวรัสเอชไอวีที่ผลิตอยู่ 23 รายการ โดยยาหลักที่ใช้ในการรักษา และยาหลักที่ใช้ในการป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ (PrEP) เป็นยาเม็ดสูตรผสม ตามแนวทางการตรวจวินิจฉัย รักษาและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ประเทศไทย ปี 2564/2565 ของกรมควบคุมโรค รวมถึงองค์การฯได้มีการประสานเพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในส่วนของยาฉีดออกฤทธิ์นาน เพื่อใช้ในการป้องกันการติดเชื้อโดยฉีดเพียงปีละ 2 ครั้ง และคาดว่าองค์การเภสัชกรรมจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีดังกล่าวในอนาคตอันใกล้นี้
ผู้อำนวยการฯ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของกำลังการผลิตยาต้านไวรัสเอชไอวีขององค์การฯทั้งยาเม็ด และยาน้ำนั้น มีกำลังการผลิตที่เพียงพอ ครอบคลุมรองรับผู้ป่วยได้ทั่วประเทศ ปัจจุบันยาต้านไวรัสเอชไอวีมีประสิทธิภาพที่ดี ถ้าผู้ป่วยเริ่มยาต้านไวรัสเอดส์เร็วและได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอายุคาดเฉลี่ยใกล้เคียงกับคนปกติ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และดำรงอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข นอกจากนี้องค์การฯ ยังได้ร่วมผลักดันยารักษาโรคติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ให้ได้รับการบรรจุเข้าในบัญชียาหลักแห่งชาติและบัญชีนวัตกรรมไทย เพื่อให้ครอบคลุมสิทธิการเบิกจ่ายทั้ง 3 สิทธิการรักษาได้แก่ สิทธิบัตรทองตั้งแต่เมษายน 2550 จำนวน 322,335 ราย สิทธิประกันสังคมเมื่อปี 2547 จำนวน 171,793 รายและสิทธิข้าราชการ จำนวน 25,054 ราย ซึ่งผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาฟรีทุกราย
องค์การเภสัชกรรมมีความมุ่งมั่น คิดค้น วิจัยและพัฒนายากลุ่มใหม่และยาสูตรใหม่ที่ใช้ในการรักษาและการป้องกันอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตทำให้ต้นทุนยาลดลง เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาได้มากขึ้น มีชีวิตที่ยืนยาว ดำรงอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ภายใต้วิสัยทัศน์ที่ว่า "องค์กรหลักเพื่อความมั่นคงทางยาและเวชภัณฑ์ของประเทศ ที่ชาวไทยไว้วางใจและภาคภูมิใจ ” ผู้อำนวยการกล่าวฯ