#CSRcontent : โดย มนวิภา จูภิบาล กรรมการบริษัท วีอาร์ทวินส์ จำกัด

ไทยทันเทรนด์โลก

ไทยทันเทรนด์โลกแค่ไหน ลองไล่ดูผลสำรวจข้อมูลความยั่งยืนของกิจการและหลักทรัพย์จดทะเบียน จำนวน 826 ราย ของสถาบันไทยพัฒน์ในปี 2021 ในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG Environmental, Social and Governance) ที่สถาบันฯได้วัดขีดความสามารถทั้งในส่วนที่เป็นผลการดำเนินงาน (ESG Performanc) และส่วนที่เป็นการเปิดเผยข้อมูล (ESG Disclosure) กิจการที่ได้คะแนน ESG รวมสูงสุดในสามอันดับแรก ได้แก่ กิจการในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กิจการในกลุ่มทรัพยากร และกลุ่มธุรกิจการเงิน

ในส่วนของการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่ภาคธุรกิจไทยเปิดเผยสูงสุด ได้แก่ เป้าหมายที่ 5 Gender Equality ความเท่าเทียมทางเพศ เป้าหมายที่ 8 Decent Work and Economic Growth เศรษฐกิจและการจ้างงาน และเป้าหมายที่ 16 Peace and Justice Strong Institutions สังคมและความยุติธรรม อย่างไรก็ตาม ในการตอบสนองต่อเป้าหมายที่ 16 ไม่มีองค์กรใดเปิดเผยข้อมูลชั่วโมงฝึกอบรมการต้านทุจริต (อ้างอิงแนวทาง GCI :Guidance on Core Indicators ที่จัดทำโดย ISAR :International Standards of Accounting and Reporting) มีเพียง 3.03% รายงานเรื่องข้อปฏิบัติด้านการจัดซื้อจัดจ้าง มีไม่ถึง 7.39% ที่เปิดเผยเรื่องการประเมินสิทธิมนุษยชน (อ้างอิงมาตรฐาน GRI) และ 38.79% มีการรายงานเรื่องการไม่เลือกปฏิบัติ (อ้างอิงแนวทางของ WFE : World Federation of Exchanges)  

Digital Marketing Institute นำเสนอตัวอย่างขององค์กรทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จในการทำ CSR ที่มีผลต่อการสร้างความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคนอกเหนือไปจากการสร้างความมั่นคงให้ธุรกิจ โดยคนกลุ่ม Millennials และ Generation Z ให้ความสำคัญกับ CSR มาก และหวังให้ธุรกิจมีการลงทุนเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น แน่นอนว่า การทำ CSR ของบริษัทขนาดใหญ่ย่อมส่งผลต่อปัญหาระดับโลกได้ในวงกว้าง ตั้งแต่ความหิวโหย สุขภาพ ไปจนถึงภาวะโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มาดู CSR เด่นของแบรนด์ดังกัน

Washington Post แก้ปัญหาสังคมที่ต้องเผชิญกับ fake news โดยใช้ TikTok @We are a newspaper เพื่อเข้าถึงผู้ชมกลุ่มใหม่และเข้าไปจัดการกับข้อมูลเท็จเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ เช่น การเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาและโควิด-19   Washington Post นับเป็นแบรนด์ข่าวที่ประสบความสําเร็จในการใช้ TikTok สร้างความไว้วางใจระหว่างสำนักข่าวกับผู้ติดตามกว่า 1.1 ล้านคน เขามองว่า ด้วยคาแรคเตอร์ของ TikTok มีความเป็นสื่ออยู่แล้วและเขาจะเลือกใช้วิธีไหนก็ได้เพื่อสื่อข่าวให้ถึงผู้รับด้วยความรับผิดชอบ 

The Walt Disney Company เข้มงวดเรื่องแรงงานระหว่างประเทศเพื่อปกป้องความปลอดภัยและสิทธิของพนักงาน Netflix ให้พ่อแม่ลางานโดยได้รับค่าจ้าง 52 สัปดาห์ทั้งพ่อแม่ผู้ให้กําเนิดและพ่อแม่ที่มีบุตรบุญธรรม โดยสามารถดําเนินการได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นปีที่เด็กแรกเกิด หรือเวลาอื่นที่เหมาะกับความต้องการของพวกเขา ส่วน Spotify ให้ลา 24 สัปดาห์ ทั้ง 2 บริษัทใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อแสดงการสนับสนุนการเคลื่อนไหว เช่น การรณรงค์เพื่อความยุติธรรมทางเชื้อชาติ (Black Lives Matter) Netflix ยังเป็นตัวอย่างของวิธีการกําหนดเป้าหมายและดึงดูดผู้ชมเฉพาะกลุ่มและชนกลุ่มน้อยผ่านโซเชียลมีเดีย Starbucks ต้องการกระจายกลุ่มพนักงานและให้โอกาสสําหรับประชากรบางกลุ่ม เช่น ให้คํามั่นว่า จะจ้างทหารผ่านศึกของสหรัฐอเมริกาและคู่สมรส 25,000 คนภายในปี 2025 และ Ford Motor Company ให้ความสำคัญเรื่องความเท่าเทียมในการจ่ายค่าจ้างเงินเดือนให้พนักงานทั่วโลก (pay equity)  

Pfizer เน้นให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินด้านสุขภาพ เมื่อเกิดภัยพิบัติบริษัทจะดำเนินการพร้อมกัน 3 เรื่องได้แก่ การบริจาคผลิตภัณฑ์ การให้เงินช่วยเหลือและการหาโซลูชั่นในการเข้าถึงความช่วยเหลือ โดยร่วมมือกับ NGOs เพื่อเข้าถึงผู้คนให้มากที่สุด เช่น ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุเฮอริเคนแมทธิวในเฮติ วิกฤตผู้ลี้ภัยทั่วโลกในยุโรปและตะวันออกกลาง และผู้ประสบภัยโควิด-19 ผ่านโครงการ Global Medical Grants สำหรับ Wells Fargo บริจาครายได้ 1.5% ในแต่ละปีให้กับองค์กรไม่แสวงผลกําไรมากกว่า 14,500 แห่งทั่วโลก ในช่วงโควิด-19 บริจาคเงินให้กับหน่วยแพทย์ระหว่างประเทศใน 30 ประเทศ TOMS มีโครงการบริจาครองเท้า 1 คู่ต่อจำนวนรองเท้าที่ขายได้ ส่งผลให้มีการบริจาคมากกว่า 100 ล้านคู่ บริษัท ถูกวิพากษ์วิจารณ์จาก NGOs ว่า สร้างการพึ่งพารองเท้าฟรีจนกระทบกับอุตสาหกรรมผลิตรองเท้าในท้องถิ่น TOMS จึงปรับกลยุทธ์เป็นการบริจาคผลกําไรหนึ่งในสามให้กับโครงการระดับรากหญ้า

เทรนด์สิ่งแวดล้อม ดูมาแรงที่สุด เช่น Johnson & Johnson มุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อโลกมาเป็นเวลาสามทศวรรษ ตั้งแต่การใช้ประโยชน์จากพลังลมไปจนถึงการจัดหาน้ำที่ปลอดภัยแก่ชุมชนทั่วโลก ตั้งเป้าหมายที่จะใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2025 Google เน้นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ศูนย์ข้อมูลของ Google ใช้พลังงานน้อยกว่าที่อื่นถึง 50% Google ทุ่มให้กับโครงการพลังงานทดแทนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และช่วยให้ธุรกิจอื่นๆ สามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมผ่านบริการต่างๆ ของเขาเช่น Gmail

Coca-Cola ใช้สโลแกน “A world without waste” ออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้รีไซเคิลได้ 100% และน้ำทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตเครื่องดื่มกลับสู่สิ่งแวดล้อมได้อย่างปลอดภัย ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 25% ภายในปี 2030 Ford Motor Company ตั้งเป้าหมายสําหรับยานพาหนะของเขาเป็น carbon neutral ภายในปี 2050   Bosch ตั้งเป้าหมายในการลด ecological footprint ผ่านการดำเนินงานเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ การใช้น้ำอย่างคุ้มค่าและเศรษฐกิจหมุนเวียน General Electric ใช้กลยุทธ์ Ecomagination ใช้เทคโนโลยีสะอาดและสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง LEGO จะลงทุน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐในอีกสามปีข้างหน้าในโครงการด้านความยั่งยืน และยุติการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวภายในปี 2025 New Belgium Brewing Company บริษัทผู้ผลิตเบียร์ที่มีพนักงานทั้งหมดเป็นผู้ถือหุ้น มีเป้าหมาย carbon neutral ในปี 2030 โรงเบียร์ Fort Collins, Colorado ผลิตไฟฟ้าผ่านแผงโซลาร์เซลล์และน้ำเสีย รวมถึง The Walt Disney Company มีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิและของเสียเป็นศูนย์ 

การดำเนินงานเพื่อตอบสนอง SDGs เป้าหมายที่ 13 Climate Action การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นเทรนด์ที่บริษัทชั้นนำของโลกให้ความสำคัญอย่างมาก สำหรับประเทศไทยยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเรื่องนี้อย่างโดดเด่นนัก อ้างอิงการสำรวจตามมาตรฐาน GRI พบว่า 84.17% ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลในประเด็นมลอากาศ (Emissions) และตามแนวทางของ WFE พบว่า 90.6% ไม่มีการรายงานเรื่องงบลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk Mitigation)

เลือกเทรนด์ที่เหมาะกับคุณทำ CSR ปีใหม่กัน