ศ.สุชาติ! การฟื้นศก.ต้องเพิ่มปริมาณเงินบาท เพื่อให้การลงทุนเพิ่มขึ้น, ให้เงินบาทอ่อนค่าลงทำให้การส่งออกและท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น, และยังทำให้สินค้าเกษตรทุกชนิดราคาเพิ่มขึ้น ส่วนรายจ่ายรัฐบาลควรใช้ทำโครงสร้างพื้นฐาน, พัฒนาทุนมนุษย์, และกระจายรายได้ให้ประชาชน
1.ศาสตราจารย์ ดร. สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า เกือบทุกพรรคการเมือง คิดว่าการฟื้นระบบเศรษฐกิจคือการใช้งบประมาณรายจ่าย มาทำโครงการจำนวนมากๆ ก็จะฟื้นเศรษฐกิจได้ ซึ่งไม่ถูกต้อง "โครงการ Micro แก้ปัญหา Macro ไม่ได้ "
2.พวกเขาไม่เข้าใจว่าในปท.ต่างๆ เช่นญี่ปุ่น (ตอนค่าเงินแข็งมากๆ) หรือประเทศที่ตอนเป็นสังคมนิยมเช่น จีน, พม่า, เวียดนาม ไม่เจริญเติบโตเพราะค่าเงินแข็งมากไป ขายสินค้าไม่ได้
3.จากสมการ P*GDP = M*V: ตัว V คือ velocity (จำนวนรอบของการหมุนของเงินใน1ปี) เมื่อปริมาณเงิน (M) เพิ่มน้อยไป ตอนแรกๆระดับราคา(P) ก็จะเพิ่มช้าลงจนติดลบ (คือเงินเฟ้อติดลบ) จากนั้น GDP ก็จะเพิ่มขึ้นน้อยลง เพราะค่าเงินแข็งไป ทำให้การส่งออกและท่องเที่ยวลด ขายไม่ได้ ก็มาลดการผลิต (GDP) ลดการใช้ Capacity ของเครื่องมือเครื่องจักร จึงไม่มีการซื้อเครื่องมือเครื่องจักร, ซื้อเทคโนโลยีใหม่ๆ มากนัก
4.ค่าเงินแข็งขึ้นเพราะอัตราแลกเปลี่ยน e = P/Pw: ตัว Pw คือราคาของคู่ค้า เมื่อเงินเฟ้อเราต่ำกว่าเงินเฟ้อคู่ค้า ค่าเงินบาท (e) ก็ต้องแข็งค่าขึ้น (ค่าเงินแข็งค่าคือตัว e ลดลงเช่น จาก 37 บาทต่อ$ เป็น32 บาทต่อ$)
5.แต่เกือบทุกรัฐบาลไปใช้สูตรที่ไม่ใช่เหตุแห่งปัญหา คือไปใช้ GDP = C+I+G+(X-M) เมื่อส่งออก (X) ลดลง ก็ไปกู้เงินเพิ่ม หวังจะเพิ่มการใช้จ่ายรัฐบาล (G) แต่ปริมาณเงินบาท (Money supply) ไม่เพิ่มขึ้น การกู้เงินเพิ่มของรัฐฯ จึงไปลดการกู้ของเอกชน ซึ่งไปลดการบริโภค (C), และลดการลงทุน (I) จึงแทบไม่มีผลต่อ GDP เป็น Crowding out effect "นโยบายการคลังล้วนๆ จึงฟื้นเศรษฐกิจไม่ได้ " รัฐบาลควรใช้รายจ่ายรัฐฯ ทำโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาทุนมนุษย์ ให้ประเทศเติบโตสูงขึ้นในระยะยาว และกระจายรายได้ให้ประชาชนในระยะสั้น
6. ในกรณี New deal ของประธานาธิบดี Roosevelt ที่ฟื้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงปี 1930-40 โดยก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure projects) มากมายด้วยรายจ่ายรัฐบาล ดูเหมือนเป็นการเพิ่มรายจ่ายรัฐบาล (G) แต่แท้จริงแล้ว รัฐบาลไปกู้เงินจากธนาคารกลางเกือบทั้งหมด, Money supply จึงเพิ่มในระบบเศรษฐกิจ ตามการใช้จ่ายของรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นซึ่งเรียกว่า Monetary financed fiscal policy (จริงๆ ก็คือการเพิ่มปริมาณเงิน) ระบบ เศรษฐกิจสหรัฐจึงฟื้นขึ้นมา ถ้าใช้ภาษาปัจจุบันก็คือการทำQuantitative Easing (QE) โดยรัฐบาลกู้เงินแบงค์ชาติ มาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะมีผลให้เงินอ่อนค่าลงด้วย ไปฟื้นการส่งออกและท่องเที่ยว ซึ่งไปฟื้น GDP และยังไปฟื้นราคาสินค้าเกษตร เนื่องจากได้ $ มาแล้วแลกเงินบาทได้มากขึ้น อีกด้วย ศ.สุชาติ กล่าว..