ครม.เห็นชอบและรับทราบนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่วเหลืองและปลาป่น) ปี 69 - 71
โดยรัฐบาลมั่นใจว่าแนวนโยบายนี้จะช่วยให้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของไทยมีเสถียรภาพ วัตถุดิบเพียงพอ ราคาเป็นธรรมต่อเกษตรกร และเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ด้านอาหารของประเทศ
วันนี้ (11 พ.ย. 68) นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบแนวนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ปี 2569 – 2571 ตามที่คณะกรรมการนโยบายอาหารเสนอ เพื่อให้ภาคปศุสัตว์และอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของประเทศมีวัตถุดิบเพียงพอ มั่นคง และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก
ทั้งนี้ ประเทศไทยยังมีการผลิตกากถั่วเหลืองและปลาป่นในปริมาณจำกัด ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในภาคปศุสัตว์และสัตว์น้ำ รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จากต่างประเทศเพิ่มเติมทุกปี โดยคงมาตรการนำเข้าในทุกกรอบการค้าเหมือนปี 2568 ยกเว้นในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อผูกพันทางการค้า
สำหรับ กากถั่วเหลือง คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กำหนดนโยบายการนำเข้าคราวละ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2569 – 2571
• ภายใต้กรอบ WTO ในโควตา เก็บภาษีร้อยละ 2 และเปิดให้ผู้นำเข้าที่ได้รับสิทธิจำนวน 11 ราย เช่น สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ สมาคมผู้เลี้ยงไก่และสุกร
• เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ภาษีร้อยละ 0
• ประเทศนอกความตกลง ภาษีร้อยละ 6 พร้อมค่าธรรมเนียมพิเศษตันละ 2,519 บาท
ทั้งนี้ ผู้มีสิทธินำเข้าต้อง รับซื้อกากถั่วเหลืองที่ผลิตในประเทศในราคาขั้นต่ำตามที่กำหนด เพื่อช่วยเหลือโรงงานสกัดน้ำมันถั่วเหลืองและเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองไทย
สำหรับ ปลาป่น ยังคงมาตรการนำเข้าเช่นเดิม โดยแบ่งเป็น
• ปลาป่นโปรตีนต่ำกว่าร้อยละ 60 ต้องขออนุญาตนำเข้า
• ปลาป่นโปรตีนร้อยละ 60 ขึ้นไป สามารถนำเข้าได้โดยไม่จำกัดปริมาณ
ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีส่วนใหญ่เก็บภาษีระหว่าง 0–5% ยกเว้นประเทศนอกความตกลงที่เก็บสูงสุด 15%
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสภาพัฒน์ฯ เห็นชอบในหลักการ โดยสภาพัฒน์ฯ เสนอเพิ่มเติมให้กระทรวงเกษตรฯ ดำเนินโครงการ ส่งเสริมและพัฒนาการปลูกถั่วเหลืองในประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหารและลดการพึ่งพาการนำเข้าในอนาคต
รัฐบาลมั่นใจว่าแนวนโยบายนี้จะช่วยให้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของไทยมีเสถียรภาพ วัตถุดิบเพียงพอ ราคาเป็นธรรมต่อเกษตรกร และเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ด้านอาหารของประเทศ