ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กล่าวในพิธีเปิดงาน Thailand Smart City Expo 2025 ภายใต้แนวคิด “Activating Smart Cities, Elevating Smart Living” ว่าดีป้าโดย สำนักงานเมืองอัจฉริยะประเทศไทย เดินหน้าภารกิจผลักดันการพัฒนาเมืองอัจฉริยะทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบันมี เมืองอัจฉริยะแล้ว 37 พื้นที่ใน 25 จังหวัด และ เขตส่งเสริมเมืองอัจฉริยะอีก 173 พื้นที่ รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 11,900 ล้านบาท ครอบคลุมประชาชนกว่า 9 ล้านคน พร้อมตั้งเป้าเพิ่มเป็น 105 พื้นที่ภายในปี 2570
ทั้งนี้ ดีป้ามุ่งเน้นการพัฒนาในมิติ Smart Living – การดำรงชีวิตอัจฉริยะ ผ่าน 2 โครงการหลัก ได้แก่
• Smart Living และ Smart Living Plus ที่ส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลใน 45 ชุมชนทั่วประเทศ เช่น ระบบคาร์บอนบันทึกกิจกรรมการเกษตร กล้องวงจรปิดและไฟส่องสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ โดรนเกษตร และ IoT การเกษตรอัจฉริยะ
• โครงการ 5G Ambulance ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ยกระดับการแพทย์ฉุกเฉินผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลในรถพยาบาล 40 คัน จากโรงพยาบาล 17 แห่งใน 11 จังหวัด
ผู้อำนวยการใหญ่ดีป้า ยังเน้นย้ำความสำคัญของ มาตรฐานเทคโนโลยี โดยเฉพาะนวัตกรรมจากต่างประเทศที่ต้องผ่านการทดสอบและรับรองก่อนขึ้นทะเบียนใน Thailand Digital Catalog เพื่อให้หน่วยงานรัฐและเอกชนสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีที่เชื่อถือได้และราคายุติธรรม
งานนี้ไม่ใช่เพียงเวทีโชว์เทคโนโลยี แต่คือพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากทั่วโลก เพื่อร่วมกันสร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์เมืองและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในทุกมิติ
ภายในพิธีเปิด นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะเพื่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย” โดยระบุว่า รัฐบาลเดินหน้าผลักดัน รัฐบาลดิจิทัลที่ปลอดภัย มุ่งใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือหลักในการบริการภาครัฐที่โปร่งใส รวดเร็ว และเข้าถึงประชาชน พร้อมส่งเสริมการใช้ ข้อมูลเปิด (Open Data) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ
รัฐมนตรีดีอีชี้ว่า เมืองอัจฉริยะคือกลไกสำคัญของการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย เมืองยุคใหม่ต้อง “เข้าใจคน” ใช้เทคโนโลยีอย่างมีเป้าหมายเพื่อให้ชีวิตประชาชนสะดวก ปลอดภัย และมีรายได้ที่มั่นคง พร้อมยกระดับทักษะดิจิทัลควบคู่กัน
เขา มองว่า เทคโนโลยี AI และ IoT จะเป็นหัวใจของการบริหารจัดการเมือง แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ควบคู่ เพื่อป้องกันภัยคุกคามที่อาจเกิดจากการใช้เทคโนโลยีอย่างไม่ถูกต้อง งานนี้จึงเป็นเวทีสำคัญที่เปิดมุมมองใหม่ของการพัฒนาเมืองที่ทั้งฉลาดและปลอดภัย

ในพิธีเปิด นายไชยชนกได้มอบตราสัญลักษณ์ “เมืองอัจฉริยะประเทศไทย” ให้กับ ภูเก็ตทินิคอนวัลเลย์ จังหวัดภูเก็ต พร้อมมอบประกาศนียบัตรให้เขตส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ 43 พื้นที่ทั่วประเทศ และมอบรางวัล Smart City Solutions Awards 2025 แก่หน่วยงานที่มีผลงานโดดเด่น 3 รางวัล ได้แก่
1. ระบบบริหารจัดการขยะเศษอาหาร เทศบาลเมืองแม่เหียะ จ.เชียงใหม่
2. ระบบอนุญาตก่อสร้างอัจฉริยะ “Smart Building Permit” เทศบาลตำบลบ้านกลาง จ.ลำพูน
3. ระบบดูแลและคัดกรองนักเรียน “App.CARE” เทศบาลนครขอนแก่น
รวมถึงรางวัลพิเศษจากดัชนีเมืองอัจฉริยะ ได้แก่
• เมืองอัจฉริยะวังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง – รางวัลพัฒนาขีดความสามารถเมืองอัจฉริยะ
• เทศบาลตำบลอุโมงค์ จ.ลำพูน – รางวัลยกระดับความพร้อมเขตส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ
ทั้งนี้ Thailand Smart City Expo นับเป็นมหกรรมเทคโนโลยีเมืองอัจฉริยะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ปีนี้ขยายพื้นที่จัดแสดงกว่า 80% รวมเทคโนโลยีและนวัตกรรมกว่า 800 รายการจากหลายประเทศ พร้อมเวทีเสวนากว่า 80 หัวข้อ ตลอด 3 วัน คาดดึงผู้เข้าร่วมงานกว่า 15,000 คนและสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจมากกว่า 1,200 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังจัดร่วมกับ Secutech Thailand เพื่อขยายมิติด้านความปลอดภัยเมืองอัจฉริยะ ครอบคลุมทั้งโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม พลังงาน และระบบรักษาความปลอดภัยสาธารณะ
เราต้องการให้เมืองอัจฉริยะไทยไม่ใช่แค่เมืองเทคโนโลยี แต่เป็นเมืองที่คนอยู่ดี มีงานทำ มีรายได้มั่นคง และปลอดภัยจากภัยไซเบอร์