วันนี้(29 ต.ค.68) ที่บริเวณด้านหน้าโรงพยาบาลศุภมิตร นายพิริยะ ฉันทดิลก ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นประธานเปิด “โครงการ 100 ดวงตา 35 ปี ศุภมิตร” ผ่าตัดรักษาต้อกระจกแก่ผู้ป่วยผู้ยากไร้และขาดโอกาสในการรักษาจากข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่าย จำนวน 100 ดวงตา โดยทีมจักษุแพทย์ ตั้งเป้าประเทศไทยต้องปลอดตาบอดจากต้อกระจก ขณะที่ ทพ.อนุศักดิ์ คงมาลัย กล่าวต้อนรับว่า โครงการ "100 ดวงตา 35 ปี ศุภมิตร" เป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของโรงพยาบาลศุภมิตรในการเป็น "มิตรดีที่คุณอุ่นใจ" และเป็นพลังสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีและการมองเห็นที่ชัดเจนให้กับคนไทยทุกคน โดยการผ่าตัด จะดำเนินการโดยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยต้อกระจกของโรงพยาบาลศุภมิตร ซึ่งมีประสบการณ์และความชำนาญสูง ด้วยความมุ่งมั่นตามวิสัยทัศน์ "คนไทย ปลอดต้อกระจก" โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามองเห็นได้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการมอบชีวิตใหม่และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนให้กับพวกเขาและครอบครัวด้วย

ด้าน นพ.เมธ โชคชัยชาญ ประธานกรรมการ บริษัท โรงพยาบาลศุภมิตร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปัจจุบันนี้โครงสร้างประชากรของไทยก้าวเข้าสังคมของผู้สูงอายุแล้ว ข้อมูลเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2566 มีประชากรผู้สูงอายุถึง 13 ล้านคน คิดเป็น 20% ของประเทศ และในอีก 10 ปีข้างหน้าจะมีประชากรผู้สูงอายุถึง 28% ก้าวสู่ Super–Aged Society อย่างเต็มตัว
การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุย่อมนำมาซึ่งโรคที่เกิดจากความชรา โดยเฉพาะโรคต้อกระจกซึ่งเป็นโรคความเสื่อมของผู้สูงอายุทุกคน ต้อกระจกจะทำให้ระดับของการมองเห็นลดลงจนเป็นอุปสรรคของการดำรงชีวิตปกติ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคนยากจนในชนบทที่ห่างไกลอาจจะเข้าถึงบริการได้ยาก ต้องใช้เวลาความพยายามสูง ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก และอาจต้องรอคอยหลายเดือนหรือเป็นปีกว่าจะได้รับการรักษา
ด้วยเหตุนี้ โรงพยาบาลศุภมิตรจึงได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว ที่กระทบการมองเห็นและคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะโรคต้อกระจกที่เป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุ โรงพยาบาลศุภมิตรจึงคิดริเริ่มโครงการ 100 ดวงตา 35 ปี ศุภมิตร โดยเป็นกิจกรรมสำคัญในโอกาสครบรอบ 35 ปี โรงพยาบาลศุภมิตร ซึ่งเราเชื่อว่าจะมีโอกาสช่วยประชาชนไทยปลอดตาบอดจากต้อกระจกได้
โครงการนี้เป็นการผ่าตัดรักษาต้อกระจก ให้แก่ผู้ป่วยผู้ยากไร้และขาดโอกาสในการรักษาจากข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่าย จำนวน 100 ดวงตา โดยทีมจักษุแพทย์โรงพยาบาล ซึ่งโครงการนี้จัดขึ้นเพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นของโรงพยาบาลในการเดินหน้าตามแนวคิด “คนไทย ไร้ต้อกระจก” ประเทศไทย ปลอดตาบอด จากต้อกระจก

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาโรงพยาบาลศุภมิตร ได้มุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำด้านการรักษาต้อกระจก ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เลือกสรรนวัตกรรมและเครื่องมือที่ดีเพื่อความแม่นยำและปลอดภัย และการบริการด้วยหัวใจดูแลด้วยความเอาใจใส่ อบอุ่น และเข้าใจ พร้อมรับส่งทั่วประเทศไทย รวมถึงที่พักของญาติที่มากับผู้ป่วย ด้วยคุณภาพระดับสูงยึดมั่นในความปลอดภัยสูงสุดและมาตรฐานสากล โดยได้รับการรับรองมาตรฐานจากการผ่าตัด ต้อกระจก จากสถานบัน AACI จากสหรัฐอเมริกา
“โรงพยาบาลศุภมิตร ได้รักษาผู้ป่วยด้าน โรคต้อกระจก มาแล้วกว่า 3 แสนดวงตา มีจุดให้บริการผ่าตัดดวงตา 5 แห่ง ภาคเหนือที่ลำพูน ภาคใต้ที่ตรัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่สกลนคร และนครราชสีมาและมีหน่วยบริการคัดกรองทั่วประเทศ จึงทำให้เรามีประสบการณ์การรักษาด้านดวงตามาอย่างยาวนาน มีเทคโนโลยีเครื่องมือที่ทันสมัย จึงมีความมุ่งมั่นที่จะขจัดโรคต้อกระจกให้หมดไปจากประเทศไทย” นพ.เมธ โชคชัยชาญ กล่าว

สำหรับโรคต้อกระจก เกิดจากความเสื่อมของโปรตีน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเลนส์ตา ทำให้เลนส์ตาขุ่นและแข็งขึ้น มักพบมากในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป สาเหตุหลักคือ ความเสื่อมตามวัย โดยสัมพันธ์กับอายุที่เพิ่มขึ้น โดยจะมีอาการมองไม่ชัดอย่างช้า ๆ ไม่มีการอักเสบหรือปวด มองเห็นมัวเหมือนมีฝ้าหรือหมอกบัง อาการมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระดับและตำแหน่งของความขุ่นในเนื้อเลนส์ ภาพซ้อน สายตาพร่า เกิดจากความขุ่นของเลนส์แก้วตาไม่เท่ากัน การหักเหของแสงไปที่จอประสาทตาจึงไม่รวมเป็นจุดเดียว ในผู้ป่วยบางรายจะสายตาสั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องเปลี่ยนแว่นตาบ่อย ๆ สู้แสงสว่างไม่ได้ มองเห็นแสงไฟกระจาย โดยเฉพาะขณะขับรถในตอนกลางคืน หรือมองเห็นสีต่าง ๆ ผิดเพี้ยนไปจากเดิม ต้องการแสงสว่างมากขึ้นในการมอง
ทั้งนี้ เมื่อต้อกระจกสุกอาจสังเกตเห็นเป็นสีขาวตรงรูม่านตา ซึ่งปกติเห็นเป็นสีดำ หากละเลยทิ้งไว้จนต้อกระจกสุกอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น โรคต้อหิน การอักเสบภายในตา ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดตา ตาแดง และอาจถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้ หากใครมีอาการดังที่กล่าวมานี้ ควรมาปรึกษาจักษุแพทย์ทันที เพื่อให้ได้รับการรักษาที่รวดเร็ว