ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
ธรรมาภิบาล ย้อนกลับ
ศาลอุทธรณ์ฯพิพากษากลับให้รับไต่สวนมูลฟ้องอดีตอัยการสูงสุดข้อหาม.157
15 ต.ค. 2568

ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับให้ศาลอาญาคดีทุจริตฯรับไต่สวนมูลฟ้องคดี ‘นารี ตัณฑเสถียร’ อดีตอัยการสูงสุด ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กรณีตั้งคณะทำงานตรวจสอบดุลพินิจ ‘สิงห์ชัย’ อดีตอสส. ย้อนหลังไม่ชอบ ชี้พฤติการณ์ครบองค์ประกอบความผิดเเล้ว เมื่อวันที่ 14 ต.ค.2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อไม่นานมานี้ ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำสั่ง ศาลอุทธรณ์แผนกคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่พิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการรับไต่สวนมูลฟ้อง น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อดีตอัยการสูงสุดคนที่ 17 ในความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด คดีดังกล่าว เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 16/2567 ที่นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน อดีตอัยการสูงสุด(อสส.) ยื่นฟ้อง น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อดีตอสส. นายศักดา ช่วงรังษี อดีตรองอสส. ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องบริษัท ซี.พี.เค.ฯ กับพวก บุกรุกยึดครองหรือทำประโยชน์ในอุทยานแห่งชาติฯ ใน อ.ภูเรือ จ.เลย เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยดำรงตำแหน่ง อสส. วาระการดำรงตำแหน่ง 30 ก.ย. 2565 จำเลยที่ 1 เคยดำรงตำแหน่งรองอสส. และพ้นวาระการดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 30 ก.ย.2566 จำเลยที่ 2 เคยดำรงตำแหน่งรองอสส. ลำดับอาวุโสที่ 4

จำเลยที่ 1 มีสาเหตุโกรธเคือง อันเนื่องมาจากความขัดแย้งในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการอัยการ ตามวาระการประชุมกลั่นกรองรายชื่อ พนักงานอัยการที่ได้รับการพิจารณาโยกย้าย (ประชุม โต๊ะเล็ก) ก่อนนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการอัยการ (ประชุม โต๊ะใหญ่)

จำเลยที่ 1 ซึ่งจะขึ้นดำรงตำแหน่ง อสส. ต่อจากโจทก์เข้าร่วมประชุมด้วย จำเลยที่ 1 เสนอรายชื่อข้าราชการอัยการ ที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาหลายรายมีความสนิทสนมและพยายามโน้มน้าวให้ กรรมการอัยการคนอื่นคล้อยตาม แต่โจทก์คัดค้าน เนื่องจากไม่เป็นไปตามลำดับอาวุโส

จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็น “ว่าที่อัยการสูงสุด” สูญเสียความน่าเชื่อถือและไม่พอใจ หลังจากที่โจทก์พ้นวาระการดำรงตำแหน่ง อสส. จำเลยที่ 1 ซึ่งมีสาเหตุโกรธเคืองดังกล่าวได้ออก คำสั่งให้โจทก์ดำรงตำแหน่งอัยการอาวุโสประจำสำนักอัยการสูงสุดเท่านั้น ไม่ได้แต่งตั้งให้โจทก์ เป็นที่ปรึกษาอสส. ตามมติคณะกรรมการอัยการแต่อย่างใด

ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่พอใจในตัวโจทก์แต่เดิม เนื่องจากขณะโจทก์ ดำรงตำแหน่งอสส. ได้มีผู้ร้องเรียนส่งบัตรสนเท่ห์มายังประธานคณะกรรมการอัยการ ผู้ร้องเรียนกล่าวหาจำเลยที่ 2 ว่าขณะที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีอัยการสำนักคดีปกครองภูเก็ต และขณะดำระตำแหน่ง อธิบดีอัยการสำนักคดีอาญาตลิ่งชัน จำเลยที่ 2 ไม่อุทิศเวลาของตนให้แก่ทางราชการและทิ้งหน้าที่อันเป็นการไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ.2553 มาตรา 66

โจทก์ได้แต่งตั้ง นาย ศ. ผู้ตรวจการอัยการตรวจสอบ ข้อเท็จจริง โดยระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นช่วงที่มีการพิจารณาแต่งตั้งตำแหน่ง รองอสส. จำเลยที่ 2 อยู่ในลำดับอาวุโสที่ได้รับการแต่งตั้ง แต่เนื่องจากจำเลยที่ 2 มีเรื่องถูกร้องเรียนและสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นทำให้การนำเสนอชื่อจำเลยที่ 2 เพื่อโปรดเกล้าดำรงตำแหน่งเป็นรองอัยการสูงสุดเป็นไปโดยล่าช้าอันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ไม่พอใจและโกรธเคืองโจทก์

เมื่อจำเลยที่ 1 ขึ้นตำรงตำแหน่ง อสส. ได้ออกคำสั่งสำนักงานอสส. ที่ 420/2566 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีข่าวสาร และเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน และอาจมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานอสส. โดยตั้งคณะทำงาน 5 คณะ มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการสั่งคดีของพนักงานอัยการเกี่ยวข้องกับคดีที่แต่ละคณะได้รับมอบหมาย

โดยคณะที่ 2, 3 เเละ5 เป็นคดีที่โจทก์ได้ชี้ขาดความเห็นแย้งตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 และมาตรา 145/1 ส่วนคณะที่ 4 เป็นคดีที่โจทก์มีคำสั่งกรณีความผิดที่ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 20

คดีทั้ง 4 คดี ที่โจทก์มีคำสั่งและชี้ขาด ความเห็นแย้งดังกล่าว เป็นคดีที่ผ่านการพิจารณาของพนักงานอัยการที่รับผิดชอบพิจารณาและสรุปความเป็นเสนอตามระดับชั้น จนถึงชั้นที่โจทก์มีคำสั่งตามอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมายเพื่อมีคำสั่งและชี้ขาดไม่ฟ้อง

การที่จำเลยที่ 1 อ้างอำนาจหน้าที่ตามความในมาตรา 19 เเละ 27 แห่ง พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการฯ ในการออกคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุด ทั้งที่บทบัญญัติดังกล่าวเป็นอำนาจในการบริหารงานคดีทั่วไป

หากจำเลยที่ 1 ประสงค์ให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการพิจารณาสั่งสำนวน จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของการตรวจสอบสำนวนโดยส่งเรื่องให้สำนักวิชาการ สำนักงานอสส. ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงตามการแบ่งส่วนราชการของสำนักงานอสส.

แต่จำเลยที่ 1 ละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามลำดับขั้นตอนแบบแผนของราชการสำนักงานอสส. โดยไม่ส่งเรื่องให้สำนักงานวิชาการหรือสำนักงานคณะกรรมการอัยการพิจารณาตามหน้าที่แต่ต้น

นอกจากนั้นจำเลยที่ 1 ยังได้แต่งตั้งจำเลยที่ 2ให้เป็นหัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงคณะที่ 2 ทั้งที่จำเลยที่ 1 ทราบดีอยู่แล้วถึงสาเหตุที่จำเลยที่ 2 เป็นบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์และมีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์มาก่อน ถือว่าจำเลยความไม่เป็นกลางต้องห้ามตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 16

จำเลยที่ 1 ย่อมคาดหมายได้ว่าโจทก์จะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าคณะทำงาน อีกทั้งในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานคณะที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้ตรวจสอบ ข้อเท็จจริงและพิจารณาทำความเห็นให้ข้อเสนอแนะก้าวล่วงไปถึงดุลพินิจพิจารณาสั่งคดีของโจทก์ในฐานะอสส. โดยไม่มีอำนาจ และจำเลยที่ 2 ยังเสนอความเห็นให้ อสส.คนปัจจุบัน (นาย อ.) ให้ดำเนินการทางวินัยร้ายแรงแก่โจทก์

ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 157 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 172

ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องแล้ว มีคำสั่งให้นัดไต่สวนมูลฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 , 157 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯมาตรา 172 และพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ในชั้นตรวจฟ้อง

คดีอยู่ระหว่างไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ยื่นอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์แผนกคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้ไต่สวนมูลฟ้องก่อนชอบหรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการออกคำสั่งสำนักงานอสส. ที่ 420/2566 ของจำเลยที่ 1 ในส่วนที่แต่งตั้งจำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าคณะทำงานคณะที่ 2 เป็นการออกคำสั่งที่มิชอบ เมื่อนำมาประกอบกับพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องของโจทก์ตามฟ้องแล้ว

การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังที่กล่าวมา จึงครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯมาตรา 172 แล้ว

ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 1 จะเป็นความผิดตามที่ โจทก์กล่าวหาหรือไม่ เป็นเรื่องที่โจทก์ชอบที่นำไปพยานหลักฐานเข้าไต่สวนเพื่อให้ไห้ได้ความว่าคดีของโจทก์มีมูลที่จะรับฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่ ศาลชั้นต้นชอบที่จะรับฟ้องไว้ เพื่อทำการไต่สวนมูลฟ้องถึงมูลคดีที่จำเลยที่ 1 ต้องหาเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นด่วน พิพากษายกฟ้องโจทก์ในชั้นตรวจฟ้องนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย แล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาตามรูปคดีต่อไป นอกจากที่แก้ไขให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16-31 ตุลาคม 2568
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
15 ต.ค. 2568
กล่าวได้ว่าการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญต่อการปกครอง ในระบอบประชาธิปโตย และก็กล่าวได้อีกเช่นกัน ว่า รัฐธรรมนูญ 2540 คือต้นธารที่ส่งผลให้การ กระจายอำนาจสู่ห้องถิ่นของประเทศไทยมีความ สำคัญมากขึ้นมาเป็นลำดับซึ่งแม้ในตลอด 20 กว่าปี ที่ผ่านม...