สมาคมสินแร่และวัสดุก่อสร้าง แสดงจุดยืนสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้รัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งรัดนำเสนอร่างพ.ร. บ.การปฏิรูปที่ดินและคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม พ.ศ…. เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เพื่อส่งต่อไปยังสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาโดยเร็ว มุ่งสร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติ เกษตรกร และการพัฒนาเศรษฐกิจ–สังคมโดยรวม
ดร.วิจักษ์ พงษ์เภตรา นายกสมาคมสินแร่และวัสดุก่อสร้าง เปิดเผยว่า ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา สมาคมสินแร่ฯ และภาคส่วนต่าง ๆ ได้ร่วมติดตามและเสนอแนะการแก้ไข พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ซึ่งใช้มากว่า 50 ปี และไม่สอดคล้องกับสภาพการใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน จึงมีความจำเป็นต้องยกร่างใหม่ โดยมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้มีส่วนได้เสีย และประชาชนทั่วไปอย่างครบถ้วน หนุนใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ร่างพ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้ มุ่งยกระดับการใช้ประโยชน์ที่ดิน ส.ป.ก. ให้เกิดประโยชน์อย่างสมดุล โดยที่ดินที่เหมาะสมต่อการเกษตร จะยังคงให้เกษตรกรใช้ทำกินต่อไป ที่ดินที่ไม่เอื้อต่อการเกษตร จะสามารถนำมาพัฒนาเพื่อกิจกรรมด้านเศรษฐกิจและสังคมอื่น ๆ ได้
นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้ง กองทุนปฏิรูปที่ดินและคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม การกำหนดโซนการใช้ประโยชน์ที่ดิน และการออกโฉนดที่ดินเพื่อการเกษตรแทนเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. 4-01 เพื่อสร้างความมั่นคงให้เกษตรกร เร่งผลักดันเข้าสภาฯ ก่อนครบเทอม
ดร.วิจักษ์กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 ซึ่งขณะนั้นมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของร่างกฎหมายดังกล่าว พร้อมมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ดำเนินการปรับปรุงร่างและเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนกฎหมาย
อย่างไรก็ดีขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าว ยังไม่ได้ถูกบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร หากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งเสนอต่อคณะรัฐมนตรีได้เร็ว ก็จะเปิดทางให้เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาโดยทันเวลา ก่อนครบวาระในอีกไม่ถึง 2 ปีข้างหน้า หรืออย่างน้อยได้เสนอสู่สภาก่อนยุบสภาภายใน4เดือนตามข้อตกลงทางการเมือง
สมาคมสินแร่ฯเห็นว่าการผลักดันกฎหมายฉบับนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน ทั้งเกษตรกรที่ได้รับความมั่นคงในที่ดินทำกิน ภาคธุรกิจที่สามารถพัฒนาที่ดินอย่างเหมาะสม และรัฐบาลที่มีเครื่องมือทางกฎหมายในการจัดการทรัพยากรที่ดินอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
ดร.วิจักษ์กล่าวย้ำว่า “หากรัฐบาลสามารถเร่งรัดให้ร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯได้โดยเร็ว จะเป็นอีกก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนการใช้ที่ดินของรัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสร้างความมั่นคงยั่งยืนต่อเกษตรกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ”