เมื่อเวลา 11.30 น.วันนี้ 29 ก.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมแควน้อยน ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี นายอธิสรรค์ อินทร์ตรา ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี แถลงข่าวผลการจับกุมคดียาเสพติด ในรอบปีที่ผ่านมา รวมถึงผลงานตามนโยบายการถอนสัญชาติไทยของผู้ซึ่งมีสัญชาติไทยและยกเลิกเพิกถอนสถานะของคนต่างด้าว หรือคนที่ไม่มีสัญชาติไทย จังหวัดกาญจนบุรี และผลการดำเนินงานของฝ่ายปกครอง ด้านความมั่นคง ในห้วง ปี 2568
โดยมีว่าที่ร้อยตรีศุภมงคล บูชาถ่ายเทศ นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นายฑรัท เหลืองสอาด ปลัดจังหวัดกาญจนบุรี พ.อ.วิสูตร เอี่ยมเรือง ผู้ช่วยเลขานุการ (นบ.ยส.17)พ.อ.จักรพงษ์ ศรีสุวรรณ รอง ผอ.รมน.กาญจนบุรี พ.อ.กวินทร์ณัช เกิดสุข รอง เสธ กกล.สุรสีห์ พ.ต.ท.วรากร วิทยาบำรุง รอง ผกก.ตชด.13(ค่ายพระพุทธยอดฟ้า)ผู้แทนกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
ทั้งนี้ นายอธิสรรค์ อินทร์ตรา ผวจ.กาญจนบุรี แถลงว่า สำหรับมาตรการป้องกันยาเสพติดในการสร้างความเข้มแข็งให้กับหมู่บ้าน/ชุมชน จำนวน 1,005 หมู่บ้านและชุมชน โดยจัดระเบียบสังคมแบบบูรณาการ ควบคุมปัจจัยเสี่ยงในสถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ โดยจับกุมดำเนินคดีกับสถานประกอบการที่พบการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดจำนวน 1 แห่ง ในเขต อ.เมืองกาญจนบุรี
มาตรการปราบปรามยาเสพติด จับกุมคดียาเสพติด จำนวน 3,568 คดี ผู้ต้องหา 3,703 ราย ตรวจยึดของกลางยาเสพติด ยาบ้า จำนวน 856,788.25 เม็ด เฮโรอีน จำนวน 33.500 กิโลกรัม ไอซ์จำนวน 321.471 กิโลกรัม เคตามีน จำนวน 25.183 กิโลกรัม โคเคน จำนวน 3.090 กิโลกรัม สารตั้งต้น เคมีภัณฑ์ ประกอบด้วย กรดไนตริก จำนวน 49 ถัง กรดซัลฟิวริก จำนวน 53 ถัง ยึดอายัดทรัพย์สินคดียาเสพติด มูลค่า 603,061,031 บาท
มาตรการแก้ไขปัญหายาเสพติด นำผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด เข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา จำนวน 3,237 คน และนำผู้เสพยาเสพติดที่มีอาการทางจิต เข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา จำนวน 392 คน รวมทั้ง ผลการดำเนินการสกัดกั้นยาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาล “Seal Stop Safe” ในพื้นที่ 5 อำเภอ ชายแดน ของจังหวัดกาญจนบุรี ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 – วันที่ 23 กันยายน 2568
หน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคตะวันตก (นบ.ยส.17) เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการหน่วยงานด้านความมั่นคง ในการสกัดกั้นละปราบปรามยาเสพติด มีผลการดำเนินการ ดังนี้
จับกุมคดียาเสพติด จำนวน 577 คดี ผู้ต้องหา จำนวน 601 ราย ตรวจยึดของกลางยาเสพติด ยาบ้า จำนวน 223,158 เม็ด เฮโรอีน จำนวน 10.821 กิโลกรัม ไอซ์ จำนวน 0.825 กิโลกรัม ,เคตามีน จำนวน 0.027 กิโลกรัม รวมถึงสารตั้งต้น/เคมีภัณฑ์ ประกอบด้วยกรดไนตริก จำนวน 49 ถัง กรดซัลฟิวริก จำนวน 53 ถัง และยึดอายัดทรัพย์สินคดียาเสพติด มูลค่า 561,939,784 บาท
ผลการเปิดปฏิบัติการฯ ดังกล่าวนั้นต้องขอบคุณ ทหารกองพลทหารราบที่ 9 ตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี และฝ่ายปกครอง ที่ได้ดำเนินการเอาจริงทุกพื้นที่ตามนโยบายของรัฐบาล และจังหวัดกาญจนบุรี ขอให้คำมั่นสัญญาว่าจะดำเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้น เพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัย เพื่อความสุขและอนาคตของประชาชนชาวกาญจนบุรี ผู้ค้ายาเสพติดจะต้องไม่มีที่ยืนในสังคม และที่สำคัญต้องขอขอบคุณประชาชนที่ได้ให้ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสข้อมูลผู้ค้าเข้ามามีส่วนสำคัญในการทำให้ชุมชนปลอดภัยมากยิ่งขึ้น หากพบเห็นพฤติกรรมสงสัย แจ้งเบาะแสได้ที่ 191 สถานีตำรวจ และฝ่ายปกครอง #SealStopSafe
ทั้งนี้ นายอธิสรรค์ อินทร์ตรา ผวจ.กาญจนบุรี กล่าวภายหลังว่า ปัจจุบันพบว่ามีแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาลักลอบเข้ามาในราชอาจักรโดยผิดกฎหมายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะช่องทางธรรมชาติด้านอำเภอสังขละบุรี ซึ่งเราได้มีการประชุมและมอบนโยบายให้เพิ่มมาตรการณ์เรื่องของการข่าวให้เข้มข้นมากกว่าเดิม ส่วนการตั้งด่าน หรือการตั้งจุดตรวจจุดสกัดจะต้องดำเนินการตลอด 24 ชั่วโมง
โดยผลการจับกุมในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมามีค่อนข้างเยอะขึ้น เนื่องจากทราบว่าแรงงานต่างด้าวเหล่านี้มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเพราะมีการไปปล่อยข่าวว่าจะมีการให้สัญชาติเมื่อเข้ามาลงทะเบียนกับกระทรวงแรงงาน เมื่อแรงงานหลงเชื่อจึงหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งเราได้ประสานไปยังผู้นำท้องถิ่นที่อยู่ตามชายแดนของทั้ง 5 อำเภอ ให้ประสานไปยังผู้นำที่อยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านให้ประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชนชาวเมียนมา ด้วย
ส่วนกรณีปัจจุบันพบว่าแรงงานชาวเมียนมาส่วนใหญ่ที่หลบหนีเข้ามามักใช้เส้นทางเรือเข้ามาในพื้นที่ชั้นใน เรื่องนี้ได้สั่งการให้นายอำเภอสังขละบุรีและอำเภอทองผาภูมิให้เพิ่มการลาดตระเวนทางเรือให้เข้มข้นขึ้นซึ่งทั้ง 2 อำเภอนั้นมีเรือสปีดโบ้ทอยู่แล้ว ส่วนสาเหตุที่กลุ่มแรงงานดังกล่าวหลบหนีทางเรือมากขึ้นเป็นเพราะมาตรการการตรวจตราทางบกมีความเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม ทำให้ยากต่อการหลบหนี จึงหันไปใช้เส้นทางทางเรือ
/////////////////////////////////////////////////////////
ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์