“คณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ” เคาะเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยารับมือมวลน้ำหลากจากตอนบน ป้องกันผลกระทบความมั่นคงเขื่อน
คณะอนุกรรมการไฟเขียวปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาแบบขั้นบันได ในอัตรา 1,500 - 2,000 ลบ.ม. ต่อวินาที เพื่อรองรับมวลน้ำจากตอนบนของประเทศ พร้อมเน้นย้ำการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุและแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้า
วันนี้ (4 กันยายน 2568) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 13/2568 โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
โดยเลขาธิการ สทนช. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า การประชุมครั้งนี้เพื่อหารือในวาระเร่งด่วนเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา เพื่อรองรับมวลน้ำซึ่งกำลังเคลื่อนตัวลงมาจากพื้นที่ตอนบน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา อิทธิพลของพายุ “หนองฟ้า” และร่องมรสุมที่พาดผ่าน ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง ซึ่งมวลน้ำดังกล่าวจะไหลมารวมกันที่หน้าเขื่อนเจ้าพระยา โดยคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณน้ำไหลผ่านบริเวณสถานี C.2 อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ในอัตรา 1,900 - 2,300 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที รวมกับปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรังและลำน้ำสาขา อีกประมาณ 100 ลบ.ม. ต่อวินาที จะทำให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าสู่เหนือเขื่อนเจ้าพระยาสูงถึง 2,000 - 2,300 ลบ.ม. ต่อวินาที หากไม่เพิ่มการระบายน้ำจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของตัวเขื่อน กรมชลประทานจึงได้เสนอต่อคณะอนุกรรมการเพื่อขอเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาแบบขั้นบันได จากเดิม 1,500 ลบ.ม.
ต่อวินาที เป็นการระบายน้ำในอัตรามากกว่า 1,500 ลบ.ม. ต่อวินาที แต่ไม่เกิน 2,000 ลบ.ม. ต่อวินาที ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำ
เพิ่มสูงขึ้นอีกประมาณ 0.3 - 1.1 เมตร ในพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำบริเวณคลองโผงเผง จังหวัดอ่างทอง บริเวณคลองบางบาล ตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา ตำบลลาดชิด ตำบลท่าดินแดง อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และแม่น้ำน้อย รวมถึงพื้นที่ลุ่มต่ำบางส่วนของอำเภอเมืองปทุมธานี อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี และอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยที่ประชุมได้พิจารณาอย่างรอบด้าน และมีมติเห็นชอบตามที่กรมชลประทานเสนอ โดยมอบหมายให้มีการประสานงานร่วมกับจังหวัดและหน่วยงานในพื้นที่เพื่อซักซ้อมแผนเผชิญเหตุเตรียมรับมือ พร้อมเน้นย้ำให้เร่งประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าให้ประชาชนได้รับทราบด้วย
“กรมชลประทานจะเริ่มปรับเพิ่มการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา ในวันที่ 6 กันยายนนี้ โดยคาดว่าจะอยู่ในอัตราประมาณ 1,600 ลบ.ม. ต่อวินาที ทั้งนี้ แม้จะมีการขอปรับการระบายน้ำในอัตราสูงสุดไม่เกิน 2,000 ลบ.ม. ต่อวินาที แต่จะมีการประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาจากปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่และมวลน้ำที่ไหลลงมาสมทบจากพื้นที่ตอนบน เพื่อควบคุมอัตราการระบายน้ำให้อยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนด้านท้ายน้ำน้อยที่สุด พร้อมกันนี้ ได้กำชับให้มีการใช้กลไกศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคกลาง ในการบริหารจัดการลุ่มน้ำเจ้าพระยา ท่าจีน บางปะกง และป่าสัก อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของเดือนกันยายน ที่คาดว่าฝนส่วนใหญ่จะตกในพื้นที่ภาคกลาง รวมถึงเป็นช่วงที่จะเกิดน้ำทะเลหนุนสูง โดยจะต้องดำเนินการเชิงป้องกันอย่างเต็มศักยภาพ เพื่อดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน” ดร.สุรสีห์ กล่าว