เมื่อวันที่ 3 กันยายน ที่กระทรวงพาณิชย์ นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลประกาศยุบสภาว่า ถือเป็นทางเลือกใหม่ ทางเลือกที่ดีที่จะให้ประชาชนสามารถเลือกคนดีๆ เข้ามาบริหารประเทศ เลือกคนที่สนใจปัญหาของเกษตรกร อยากฝากถึงรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศให้เข้ามาดูแลและรับฟังความเห็นจากชาวนาให้มากขึ้น“ชาวนาเราไม่ติดใจว่าจะเป็นใคร คนนอก หรือ คนใน หรือ คนอายุน้อย เพียงเมื่อเข้ามาเร่งแก้ปัญหาที่ชาวนาร้องมาตลอด ได้แก ลดภาระต้นทุนเพาะปลูก ลดราคาพลังงาน พัฒนาเมล็ดพันธุ์ที่ให้ผลผลิตต่อไปสูงขึ้น และ แก้ปัญหานำ้เพื่อเพาะปลูก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญช่วยพยุงราคาข้าวไม่ตกต่ำ และรัฐมีโอกาสลดหรือเลิกแจกเงินเยียวยาในระยะยาว”นายปราโมทย์ กล่าว
นายปราโมทย์กล่าวอีกว่า อยากให้รัฐบาลใหม่เร่งให้ความสำคัญและแก้ไขปัญหาสภาพความเป็นอยู่ของเกษตรกร โดยเฉพาะชาวนาที่กำลังเผชิญกับวิกฤตหลายด้าน ทั้งปัญหาราคาข้าวตกต่ำสุดในรอบ 10-20 ปี ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การขาดแคลนแหล่งน้ำ และผลกระทบจากมาตรการภาครัฐที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตชาวนา ปัจจุบันสถานการณ์ราคาข้าวในปัจจุบันน่าเป็นห่วง โดยราคาข้าวเปลือกสดที่เกี่ยวได้ในมีความชื้น 30-50% อยู่ที่ประมาณ 3,500-3,600 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำที่สุดในรอบ 10-20 ปี แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายช่วยเหลือชาวนาด้วยเงินไร่ละ 1,000 บาท “สถานการณ์น้ำท่วมจากการระบายน้ำจากภาคเหนือลงมา เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ซ้ำเติมความเดือดร้อนของชาวนา โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลางอย่างจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชาวนาจำเป็นต้องเร่งเกี่ยวข้าวหนีน้ำ แม้ว่าข้าวจะยังไม่สุกเต็มที่ ทำให้ได้ข้าวสดที่มีความชื้นสูงและถูกกดราคาเหลือเพียง 3,500-3,600 บาทการกระทำเช่นนี้ส่งผลให้ชาวนาขาดทุนและเป็นหนี้สินจำนวนมาก”สาเหตุหลักของปัญหาราคาตกต่ำมาจากหลายปัจจัย ประการแรกคือต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสวนทางกับราคาที่ได้จากการขายข้าว ทำให้ชาวนาขาดทุน ประการที่สองคือการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ อินเดีย จีน และเวียดนาม ที่ส่งออกข้าวในราคาที่ต่ำกว่าไทย เนื่องจากต้นทุนการผลิตของไทยที่สูงกว่า
นายปราโมทย์ กล่าวว่า คุณภาพข้าวไทยว่ามีคุณภาพดี แต่ราคาขายของเรายังสูงกว่าคู่แข่ง ชาวนาได้รับผลกระทบจากราคาข้าวตกต่ำและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอย่างรุนแรง ทำให้รายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต และนำไปสู่ปัญหาหนี้สินที่ขยายวงกว้าง อยากเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาวิกฤตข้าวอย่างยั่งยืน โดยเน้นการลดภาระและเพิ่มขีดความสามารถให้ชาวนาไม่ต้องพึ่งพิงการช่วยเหลือแบบครั้งคราว การสนับสนุนปัจจัยนอกจากนี้ ควรจัดหาแหล่งน้ำให้เพียงพอ และช่วยลดต้นทุนการผลิต เช่น ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง
อย่างไรก็ตาม ไทยต้องหาตลาดใหม่ๆ สำหรับข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวพื้นนุ่มที่ได้รับความต้องการจากต่างประเทศ ชาวนาไทยในฐานะผู้ผลิตพร้อมที่จะผลิตตามความต้องการของตลาดต่างประเทศ และต้องการให้มีการส่งออกข้าวเพิ่มมากขึ้นสำหรับนโยบายห้ามเผาตอซังเพื่อลดปัญหา PM 2.5 สร้างภาระและผลกระทบอย่างมากซึ่งการห้ามเผาทำให้ชาวนาต้องหันมาหมักฟางแทน เพิ่มระยะเวลาในการเตรียมดินไปอีกประมาณหนึ่งเดือน การกระทำเช่นนี้ได้ส่งผลกระทบต่อชาวนาในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่ต้องเผชิญกับน้ำท่วม ทำให้ข้าวที่กำลังจะออกรวงพร้อมเกี่ยวได้รับความเสียหายอย่างหนัก ในขณะที่อุตสาหกรรมและยานพาหนะต่างหากที่ปล่อยควันพิษตลอดทั้งวันทั้งคืน
นายปราโมทย์ กล่าวอีกว่า เกษตรกรเปรียบเสมือนรากฐานของประเทศและเป็นอันดับหนึ่งในการผลิตเพื่อส่งออก และต้องการรัฐบาลและผู้นำที่เป็นคนดี คนเก่งคนที่พัฒนา ไม่พูดแล้วทำไม่ได้ และไม่เอาประเทศชาติมาเป็นเครื่องต่อรองทางการเมือง ชาวนาเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ทบทวนมาตรการและนโยบายต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของเกษตรกร เพื่อให้พวกเขาสามารถยืนหยัดและเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติได้อย่างแท้จริง