ผู้เข้าอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตรการกำกับดูแลและพัฒนากฎหมายกิจการกระจายเสียง โทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมระดับสูง (ปกส.) รุ่นที่ 2 กลุ่ม 7 (อเมริกาใต้) จากสถาบันพระปกเกล้า ได้เข้าร่วมหารือกับทีม Keeta ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพไทยที่มีผลงานโดดเด่นในระดับนานาชาติด้านเทคโนโลยีอาหารและเวชภัณฑ์สำหรับภารกิจอวกาศ โดยมีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและมุมมองในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
หลักสูตรปกส. เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันพระปกเกล้าและสำนักงาน กสทช. ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และวิสัยทัศน์แก่ผู้นำจากภาครัฐ เอกชน และองค์กรกำกับดูแล เพื่อพัฒนานโยบายและกรอบกฎหมายที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีและบริบทใหม่ในยุคดิจิทัล
ในการหารือครั้งนี้ ทีม Keeta ได้แบ่งปันประสบการณ์จากการแข่งขัน Deep Space Food Challenge ที่จัดโดยองค์การ NASA และ Canadian Space Agency (CSA) ซึ่ง Keeta เป็นทีมสัญชาติไทยเพียงทีมเดียวที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายของการแข่งขันระดับโลกนี้ ความโดดเด่นของ Keeta อยู่ที่แนวคิดการผลิตอาหารอวกาศแบบยั่งยืน โดยใช้วัตถุดิบจากแมลงโปรตีนสูง ผสานกับเทคโนโลยีชีวภาพและการพิมพ์อาหารด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติ (3D Printing) เพื่อให้ได้อาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน เก็บรักษาได้นาน และใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด
นอกจากการพัฒนาอาหารอวกาศแล้ว ทีม Keeta ยังอยู่ระหว่างการสร้างต้นแบบเพย์โหลด “เครื่องผสมยาบนอวกาศ” (Microgravity Pharma Mixer) ซึ่งออกแบบมาสำหรับทดลองการผสมสารละลายยาในสภาพแวดล้อมไร้น้ำหนัก โดยใช้เทคโนโลยีไมโครฟลูอิดิก (Microfluidics) และตลับปลอดเชื้อแบบใช้ครั้งเดียว พร้อมระบบเซนเซอร์ที่สามารถตรวจวัดคุณภาพของสารผสมได้แบบเรียลไทม์ เป้าหมายของการพัฒนาเทคโนโลยีนี้คือรองรับภารกิจสุขภาพบนสถานีอวกาศ และสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ในภาคพื้น เช่น การแพทย์ฉุกเฉิน การกู้ภัย หรือในพื้นที่ห่างไกลที่ระบบสาธารณสุขเข้าถึงได้ยาก
การพูดคุยในครั้งนี้ทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างผู้นำด้านนโยบายและผู้พัฒนาเทคโนโลยี โดยผู้เข้าอบรมหลักสูตร ปกส. ได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับแนวนโยบายสาธารณะ การกำกับดูแล และการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมในประเทศ เพื่อส่งเสริมให้เทคโนโลยีของไทยสามารถเติบโตและแข่งขันได้บนเวทีโลก
หนึ่งในผู้เข้าอบรมกล่าวว่า “เทคโนโลยีจากทีม Keeta ไม่ได้มีคุณค่าแค่ในอวกาศ แต่ยังสามารถต่อยอดเพื่อนำมาใช้บนโลกจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง”
การหารือในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการสร้างความเข้าใจร่วมระหว่างภาคนโยบายกับภาคเทคโนโลยี และเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำองค์ความรู้ที่หลากหลายมาบูรณาการเพื่อผลักดันนวัตกรรมของไทยให้ก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืน