“เกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร” เป็นหัวใจของประเทศ ย้ำให้ความสำคัญเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู และจัดหาข้าวโพด-กากถั่วในประเทศ พร้อมหนุนความมั่นคงอาหาร
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF กล่าวถึงภาคเกษตรอุตสาหกรรม และอาหารว่าเป็นหัวใจของประเทศ ขณะที่บทบาทผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ของ CPF จะเน้นการเติบโตไปพร้อมกับสังคม โดยเฉพาะการทำงานเคียงข้างเกษตรกรไทยที่ถือเป็นรากฐานสำคัญของอุตสาหกรรมอาหาร
บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการสร้างงาน และสร้างอาชีพผ่านเกษตรกรคู่ค้า โดยช่วยยกระดับมาตรฐานการเลี้ยงสัตว์ ดูแลคุณภาพชีวิตเกษตรกร รวมถึงการจัดหาวัตถุดิบจากภายในประเทศเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพดหรือกากถั่วเหลือง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ
“ยกตัวอย่างการผลิตสุกรของ CPF ส่วนใหญ่มาจากเกษตรกรคู่ค้าทั่วประเทศ เราเชื่อว่าความมั่นคงทางอาหารจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเกษตรกรสามารถยืนหยัดได้อย่างแข็งแรง มีอาชีพที่มั่นคง และได้รับการสนับสนุนจากระบบธุรกิจที่โปร่งใส และเป็นธรรม ขณะเดียวกันก็จัดซื้อจัดหาวัตถุดิบต่างๆ จากภายในประเทศก่อนเสมอ เพื่อร่วมดูแลเกษตรกรในทุกขั้นของห่วงโซ่การผลิต” นายประสิทธิ์ กล่าว
สำหรับการนำเข้าเนื้อหมูสหรัฐยังมีสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในมุมของผู้บริโภค โดยบริษัทยังคงเชื่อว่าความปลอดภัยต้องมาก่อน โดยเฉพาะประเด็น “สารเร่งเนื้อแดง” ที่สหรัฐอเมริกายังอนุญาตให้ใช้ แม้จะอยู่ภายใต้การควบคุม แต่ก็ยังเป็นสารที่กว่า 160 ประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย สหภาพยุโรป จีน รัสเซีย และญี่ปุ่น ไม่อนุญาต เพราะคำนึงถึงผลกระทบด้านสุขภาพประชาชนเป็นสำคัญ สารดังกล่าวมีฤทธิ์กระตุ้นการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ และลดการสะสมไขมัน แม้จะช่วยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร แต่ก่อให้เกิดสารตกค้างในเนื้อสัตว์ และเครื่องใน สารนี้ไม่ถูกทำลายด้วยความร้อนจากการปรุงอาหาร อาจส่งผลให้ผู้ที่บริโภคเข้าไปมีอาการกล้ามเนื้อสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ วิงเวียน ปวดศีรษะ และเสี่ยงอันตรายรุนแรงในผู้ป่วยโรคหัวใจ เบาหวาน ลมชัก และสตรีมีครรภ์ จึงเป็นเหตุผลสำคัญให้ประเทศไทยโดยกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมปศุสัตว์ ออกกฎหมายห้ามใช้สารดังกล่าว
“การสร้างความมั่นคงทางอาหารต้องเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร หากประเทศเดินหน้าด้วยการพึ่งพาการนำเข้าในสินค้าที่เรามีศักยภาพผลิตได้เอง มีโอกาสทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการพึ่งพาตนเองในอนาคต และเปิดช่องให้ราคาสินค้าถูกกำหนดโดยต่างชาติ ซึ่งไม่สอดคล้องกับเป้าหมายความมั่นคงทางอาหารของประเทศที่ควรมีระบบอาหารที่แข็งแรงจากภายใน” นายประสิทธิ์ กล่าว
ด้วยวิสัยทัศน์นี้ CPF ยังคงลงทุน และพัฒนาความร่วมมือกับเกษตรกรทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การผลิตอาหารของไทยเติบโตอย่างยั่งยืน และสามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ และการค้าโลก
นายประสิทธิ์ ทิ้งท้ายอีกว่าการจะพิจารณาตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับการนำเข้าอาหาร เช่น เนื้อหมูจากต่างประเทศ ควรเป็นไปด้วยความรอบคอบ ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งมิติสุขภาพผู้บริโภค เศรษฐกิจของเกษตรกร และอนาคตความมั่นคงทางอาหารของประเทศ