เพราะพิษเศรษฐกิจ ทำให้หญิงสาวคนหนึ่งที่ยึดอาชีพอิสระเป็นเซลขายบ้านกำลังไปได้ดีมีรายได้เป็นกอบเป็นกำสนุกสนานกับงานที่รัก กลับต้องเดินหันหลังออกมาคิดทบทวนถึงอนาคต ก่อนตัดสินใจทำร้านอาหารแต่ก็ไปไม่รอดเพราะลูกค้ามีตัวเลือกมากมาย จึงคุยกับคุณเก่งแฟนเพื่อ เป็นการตัดสินในครั้งสุดท้าย นั่นคือ ทำฟาร์มเมล่อนด้วยเงินก้อนสุดท้ายที่เหลือ
ธัญญนนท์ สิทธิสาริกรรม หรือมาดามตุ่นบอกว่าหลังตัดสินทำฟาร์มก็ช่วยกันคิดว่าจะใช้สายพันธุ์ใดมาปลูก ก่อนที่จะลงเอย สายพันธุ์ เหลืองจันทร์ฉาย ซึ่งมีผิวสีเหลืองทอง เนื้อสีส้ม แม้ลูกไม่ใหญ่มาก 1.5 ถึง 2.3 กก. แต่ก็ให้รสชาติหวานนุ่มคล้ายสาลี่ ดูแลง่ายและติดผลดก ส่วนอีกสายพันธุ์ที่ปลุกคือ ฟูจียาว่า ผิวเขียวนวลเป็นตาข่ายเนื้อสีส้ม รสชาติหวานกรอบน้ำหนักดี ราคาขายทั้งฟูจิว่า และเหลืองจันทร์ฉาย กิโลละ 100 บาท ทั้งสองสายพันธุ์ดูแลง่าย หนึ่งปีตัดขายได้ 3 ถึง 4 ครั้ง แต่ที่ฟาร์มจะบังคับให้ออกผลหรือตัดเพียงสามครั้งเพราะต้องการให้อายุต้นยาวนาน ส่วนการดูแลหรือต้องระวังคือ แมลงหวี่ และเพลี้ยไฟ แม้จะเป็นฟาร์มปิดแต่แมลงที่ตัวเล็กก็อาจเล็ดลอดเข้าไปได้จึงต้องระวัง หรือหากพบการแพร่ระบาดของแมลงต้องรีบกำจัดออกด้วยการนำต้นนั้นออกไปทันทีก่อนที่จะลุกลามไปยังต้นอื่น
ปัจจุบัน เหลืองจันทร์ฉาย ที่ปลูกไว้ 368 ต้น ได้ให้ผลผลิตสามารถตัดขายได้แล้ว มีลูกค้าที่เป็นลูกค้าร้านอาหารและลูกค้าซื้อบ้านให้ความสนใจมาซื้อมาจองเพื่อนำไปทานเป็นของฝากมาอุดหนุนจนบางครั้งไม่พอ กับความต้องการ ส่วนฟูจิว่า 736 ต้นอีกสองอาทิตย์ก็สามารถตัดขายได้แล้ว
คุณ ธัญญนนท์ หรือมาดามตุ่น บอกว่า เมล่อนที่ฟาร์มปลูกแบบอินทรีย์ ไม่มีการใช้สารอันตรายใดๆจึงสามารถรับประทานได้อย่างสนิทใจ สนใจอยากลองชิม เมล่อนจากฟาร์มมานยเก่ง สามารถโทรติดต่อสอบถามได้ที่ 089 – 645 6168 หรือที่ Facebook มาดามตุ่น
ธนปกรณ์ วิศวามิตร / ปราจีนบุรี
081-2863615