นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมหารือและการรับฟังความคิดเห็นต่อสถานการณ์ด้านภาษีกับสหรัฐอเมริกา ด้านการค้าสินค้าประมง โดยมี นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง พร้อมด้วย นายมานพ หนูสอน นางฐิติพร หลาวประเสริฐ และนายประเทศ ซอรักษ์ รองอธิบดี และคณะผู้บริหารกรมประมงผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานการเกษตรต่างประเทศ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนจากองค์กรภาคการประมง ผู้ประกอบการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เข้าร่วม ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาและวิเคราะห์ผลกระทบ กรณีที่สหรัฐอเมริกาได้ประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับประเทศไทยในอัตราใหม่ที่ระดับ 19% เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 (จากอัตราเดิมที่ 36%) และอัตราภาษีที่สหรัฐอเมริกาประกาศใช้กับประเทศคู่ค้าในอัตราต่าง ๆ กัน รวมถึงรับทราบผลการวิเคราะห์ผลกระทบต่อการค้าสินค้าประมงที่คาดว่าจะส่งผลต่อภาคการประมงของไทย โดยที่ประชุมได้ร่วมกันกำหนด 9 มาตรการรองรับ อาทิ การเปิดตลาดส่งออกใหม่ เน้นการเปิดโอกาสทางด้านการตลาดในประเทศแถบตะวันออกกลาง เพิ่มความหลากหลายในชนิดสินค้า การปรับโครงสร้างการผลิตทั้งระบบ มุ่งเน้นการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด การจัดทำข้อตกลงกับผู้ประกอบการแปรรูปสัตว์น้ำให้ใช้วัตถุดิบประมงภายในประเทศเป็นอันดับแรก เพื่อลดผลกระทบจากการเลือกใช้วัตถุดิบราคาถูกจากต่างประเทศที่คาดว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นพ้องให้ควรมีการกำหนดแหล่งงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนทั้ง 9 มาตรการให้เป็นรูปธรรม โดยให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการในการติดตามการดำเนินการเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์และมีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกสินค้าประมงอันดับที่ 1 ของไทย สร้างรายได้กว่า 46,000 ล้านบาทต่อปี โดยไทยมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าประมง 5.17% ของมูลค่าการนำเข้าสินค้าประมงทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา อยู่ในอันดับที่ 9 รองจากแคนนาดา ชิลี อินเดีย อินโดนีเซีย เวียดนาม เอกวาดอร์ จีนและนอร์เวย์ ซึ่งมีอัตราภาษีนำเข้าต่ำไม่แตกต่างกันมากนัก การขึ้นภาษีจึงส่งผลให้สินค้าที่สหรัฐอเมริกานำเข้ามีราคาเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ปริมาณการนำเข้าสินค้าด้านประมงจากต่างประเทศมีแนวโน้มลดลง
นายอัครา กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมประมง ได้เตรียมแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ครอบคลุมในทุกมิติ เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสินค้าไทยให้มากที่สุด โดยพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพต่อไป