เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม นายกรนิจ โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีที่มีข่าวเกษตรกรชาวสวนลำไยไม่สามารถหาจุดขายลำไยได้ว่า กรมได้ร่วมมือกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัด ที่เป็นแหล่งเพาะปลูกลำไยหลัก ทั้งเชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย และพะเยา รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงอื่นๆ ที่มีอาจมีผลผลิตลำไย ทำการประสานผู้ประกอบการลำไยอบแห้ง และผู้ประกอบการจุดร่อน เข้าไปเปิดจุดรับซื้อ โดยเน้นในพื้นที่ที่มีผลผลิตออกมาก และได้รับการร้องขอ หรือแจ้งข้อมูลเข้ามายังสำนักงานพาณิชย์จังหวัด
“ตอนนี้เป็นช่วงผลผลิตกำลังออกสู่ตลาด กรมยืนยันว่ามีแรงเท่าไร มีกำลังเท่าไร จะใส่ให้หมด จะเปิดจุดรับซื้อลำไยแบบต่อเนื่อง เน้นจุดที่มีผลผลิตกระจุกตัว เพื่อดูแลเกษตรกร ที่จำเป็นต้องเก็บเกี่ยวผลผลิต ให้มีที่ขายผลผลิต ซึ่งเป็นไปตามข้อสั่งการของนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ให้เร่งทุกมาตรการช่วยเหลือ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงพีก จะรอช้าไม่ได้” นายกรนิจกล่าว
สำหรับผลการดำเนินการล่าสุด ผู้ประกอบการลำไยอบแห้งและผู้ประกอบการจุดร่อน ได้มีการเปิดจุดรับซื้อเพิ่มขึ้นในพื้นที่อำเภอสันป่าตอง อำเภอจอมทอง อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่, อำเภอลี้ อำเภอป่าซาง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน, อำเภอพาน อำเภอเทิง อำเภอป่าแดด อำเภอพญาเม็งราย อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย และอำเภอจุน อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา
นอกจากนี้ ได้มีการจัดตั้งวอร์รูมเพื่อติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรตามข้อสั่งการของนายสุชาติ โดยหากพื้นที่ใดมีปัญหาด้านผลผลิตล้นตลาด หรือมีปัญหาด้านราคา ก็ให้แจ้งผ่านสำนักงานพาณิชย์จังหวัด จะเข้าไปดูแลช่วยเหลือดูแลทันที และยังขับเคลื่อนมาตรการเชิงรุก เพื่อช่วยระบายผลผลิตลำไยออกจากแหล่งผลิต ทั้งการเชื่อมโยงลำไยสดเพื่อส่งออก การกระจายผ่านเครือข่ายพันธมิตร การสนับสนุนกล่องบรรจุภัณฑ์ไปรษณีย์ให้กับเกษตรกรใช้บรรจุลำไยสำหรับการขายออนไลน์ การจัดกิจกรรมรณรงค์บริโภคผลไม้ “Thai Fruits Festival 2025” การจัดกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) โดยดึงผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาช่วยซื้อ การเชื่อมโยงขายในปั๊มน้ำมัน และช่องทางใหม่ ขายผ่านตู้เต่าบินและแอร์เอเชีย
ปี 2568 ผลผลิตลำไยภาคเหนือ คาดว่าจะมีปริมาณ 1.06 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 21.36% โดยผลผลิตส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และเชียงราย
“ขณะนี้ผลผลิตได้ออกสู่ตลาดแล้วประมาณ 40% และเริ่มออกสู่ตลาดมากในช่วงต้นเดือน ส.ค.2568 คาดว่าผลผลิตจะเริ่มลดลงหลังวันที่ 15 ส.ค.2568 เป็นต้นไป”