เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ บอร์ดกสทช. มีวาระสำคัญในการพิจารณาข้อเสนอของอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ซึ่งเสนอให้ปรับปรุงเงื่อนไขแนบท้ายเพิ่มเติมใน ประกาศ กสทช. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล ย่าน 850 MHz, 1500 MHz, 2100 MHz และ 2300 MHz หลังจากที่การประมูลคลื่นความถี่ดังกล่าวได้เสร็จสิ้นไปเมื่อ 29 มิถุนายน 2568
ทั้งนี้ ข้อเสนอการเพิ่มเงื่อนไขดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะจาก สภาองค์กรของผู้บริโภค ที่เคยออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ กสทช. บรรจุ “บทลงโทษ” ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตไม่สามารถขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมประชากรในพื้นที่ต่างๆ ได้ตามที่ระบุไว้ในเวลา 5 ปี พร้อมเสนอให้ระบุอัตราค่าปรับรายวันอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ผลการลงมติในที่ประชุมบอร์ด กสทช. กลับสะท้อนความเห็นที่ไม่เป็นเอกฉันท์
ส่งผลให้เสียงโหวตเห็นชอบมีไม่ถึงครึ่งของกรรมการทั้งหมด จึงไม่สามารถผ่านมติให้เพิ่มเงื่อนไขแนบท้ายได้
ทั้งนี้ นายสมภพให้เหตุผลว่า กฎหมายเดิมเปิดช่องให้ กสทช. ดำเนินการทางปกครองหรือเพิ่มบทลงโทษได้อยู่แล้ว หากผู้ได้รับใบอนุญาตไม่ปฏิบัติตาม ขณะที่กรรมการอีกบางรายเตรียมส่งคำชี้แจงเพิ่มเติมเป็นลายลักษณ์อักษรในภายหลัง
สำหรับเงื่อนไขที่ถูกเสนอนั้น มีเนื้อหาว่า หากผู้ได้รับใบอนุญาตไม่สามารถดำเนินการให้บริการได้ครอบคลุมมากกว่า 90% ของประชากรในแต่ละตำบลภายในระยะเวลา 5 ปี จะต้องชำระ “ค่าปรับรายวัน” ในอัตรา 0.05% ของราคาประมูลสูงสุด ตลอดช่วงเวลาที่ล่าช้า ซึ่งเป็นแนวทางที่เคยใช้มาแล้วในช่วงปี 2555–2562 แต่ไม่ได้ระบุในประกาศล่าสุดปี 2568 แม้ท้ายประกาศจะเปิดทางให้คณะกรรมการสามารถเพิ่มภายหลังได้
• บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) ได้คลื่นย่าน 2100 MHz จำนวน 3 ชุด รวมมูลค่า 14,850 ล้านบาท
• บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (TUC) ได้คลื่นย่าน 2300 MHz จำนวน 7 ชุด มูลค่า 21,770 ล้านบาท และคลื่น 1500 MHz จำนวน 4 ชุด มูลค่า 4,653 ล้านบาท
ทั้งสองบริษัทได้ชำระค่าคลื่นความถี่งวดแรก 50% ไปแล้วเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี แม้ กสทช. จะมีนโยบายควบคุมอัตราค่าบริการขั้นสูง (net tariff cap) และค่าบริการเสริม (VAS) อย่างเข้มงวด แต่การตีกลับข้อเสนอเพิ่มบทลงโทษในใบอนุญาต อาจส่งผลต่อความมั่นใจของภาคประชาชนในการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในระยะยาว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประเด็นดังกล่าวสืบเนื่องจากที่สภาองค์กรของผู้บริโภคได้แสดงความวิตกอย่างชัดเจนต่อกระบวนการประมูลคลื่นความถี่ของ กสทช. โดยในช่วงก่อนการประมูล สภาผู้บริโภคได้ยื่นหนังสือต่อ กสทช. คณะกรรมาธิการรัฐสภา และนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนกรอบเวลาการจัดประมูลเพราะมองว่าอาจขัดต่อหลักการแข่งขันเสรีและเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงสองราย
และหลังผลประมูลออก สภาผู้บริโภคและเครือข่ายผู้บริโภคได้ยื่นหนังสือคัดค้านการรับรองผล พร้อมเรียกร้องให้ทบทวนใหม่ เพราะเห็นว่าการตั้งราคาขั้นต่ำไม่โปร่งใส ขาดเวทีรับฟังประชาคมรอบสอง และปราศจากเงื่อนไขที่สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคและผู้เล่นรายใหม่
สภาผู้บริโภคย้ำว่า คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรสาธารณะของคนไทย การประมูลควรคำนึงถึงคุณภาพ ราคา การเข้าถึง และไม่ควรให้ตลาดเหลือเพียงสองผู้เล่นใหญ่เท่านั้น รวมถึงเรียกร้องให้ กสทช. เพิ่มเงื่อนไขด้านการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในใบอนุญาต เพื่อให้การกระจายคลื่นเป็นไปอย่างมั่นคง โปร่งใส และเป็นธรรมต่อประชาชนทุกกลุ่ม
ด้านนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการกสทช. เสริมว่า นอกจากวาระที่ 6.3 การขอรับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล และเพิ่มบริการกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล ของบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด
สำนักงาน กสทช. จะออกใบอนุญาตบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และ ได้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อกิจการโทรคมนาคม ช่วงความถี่ 1452-1472 MHz และช่วงความถี่ 2300-2370 MHz และบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด ได้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อกิจการโทรคมนาคม ช่วงความถี่ 1968-1980 MHz คู่กับ 2155-2170 MHz โดยมีระยะเวลาอนุญาตใช้คลื่นความถี่ 15 ปี (ตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค. 2568 ถึงวันที่ 3 ส.ค. 2583)
นอกจากนี้ กสทช. ยังมีมติอนุญาตให้ทั้งสองบริษัท เพิ่มบริการภายใต้ใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามมติที่ประชุม กสทช. ที่ต้องการให้การบริหารและจัดสรรทรัพยากรสาธารณะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติ ประชาชน
โดยเฉพาะการส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงบริการโทรคมนาคมที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง และเท่าเทียม เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยี เอื้อให้เกิดบริการเทคโนโลยีทางดิจิทัลที่จะสอดรับกับการพัฒนาในอนาคต เช่น 5G และ IoT โดยการกำหนดเงื่อนไขในใบอนุญาตที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ต้องให้บริการอย่างมีคุณภาพ ประสิทธิภาพ โปร่งใส และไม่เอาเปรียบผู้ใช้บริการ