วันที่ 28 มิถุนายน 2568 สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีนได้จัดการบรรยายแก่ผู้เข้าอบรมในหลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2 ณ ห้องเพชรชมพู ชั้น 3 โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ กรุงเทพมหานครฯ โดยได้รับเกียรติจาก รศ. ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจีน ในการบรรยายหัวข้อ “Belt and Road Initiative: BRI จีนคิดการใหญ่อะไร และผลกระทบต่ออาเซียนและประเทศไทย”
รศ. ดร.อักษรศรี เล่าถึงจุดเริ่มต้นของแนวคิด Belt and Road Initiative (BRI) ที่ถูกกล่าวถึงครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน ปี 2013 ขณะประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ได้เดินทางเยือนประเทศคาซัคสถาน และเสนอแนวคิด “แนวเขตเศรษฐกิจบนเส้นทางสายไหมใหม่” หรือที่รู้จักในชื่อ "Silk Road Economic Belt" ซึ่งถือเป็นจุดตั้งต้นของยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับประเทศต่างๆในเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน ระหว่างการเยือนประเทศอินโดนีเซีย ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงกล่าวถึง “เส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21” (Maritime Silk Road in the 21st Century) ซึ่งสื่อถึงการเชื่อมโยงกับนานาประเทศผ่านเส้นทางทางทะเลของจีนเพื่อสนับสนุนแนวทางความร่วมมือนี้ จีนได้เสนอจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย หรือ AIIB (Asian Infrastructure Investment Bank) ซึ่งเป็นกลไกทางการเงินสำคัญที่สนับสนุนการพัฒนาโครงการในประเทศหุ้นส่วนต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรมต่อมาจีนได้ปรับเปลี่ยนชื่อยุทธศาสตร์ใหญ่นี้จาก “One Belt One Road” มาเป็น Belt and Road Initiative (BRI) เพื่อสะท้อนถึงการขยายตัวที่กว้างขึ้นในเวทีนานาชาติและความตั้งใจของจีนในการให้แต่ละประเทศเข้ามามีส่วนร่วม
รศ. ดร.อักษรศรี ให้ข้อมูลว่าจีนกระจายความเสี่ยง ด้วยการหาตลาดที่หลากหลาย ลดการพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ เหลือ 14.8% ของการส่งออกทั้งหมด จากที่เคยมีสัดส่วนมากกว่า 20% พร้อมเร่งกระจายตลาดไปยังกลุ่มประเทศ Global South ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2014-2024) ได้แก่ อาเซียน เอเชียใต้ แอฟริกา ตะวันออกกลาง รัสเซีย และละตินอเมริกา ซึ่งอาเซียนได้ขึ้นมาเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของจีนBRI ของจีน ยังเชื่อมโยงกับกลุ่มความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น CELAC (จีน-ละตินอเมริกา) ครอบคลุม 33 ประเทศ และ FOCAC (จีน-แอฟริกา) ครอบคลุม 53 ประเทศในโครงการ BRI หลายประเทศได้เข้าร่วมในรูปแบบการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับ “Debt-Trap Diplomacy” หรือการทูตกับดักหนี้ โดยเฉพาะในกรณีที่ประเทศคู่สัญญาไม่สามารถชำระหนี้ได้ เช่น ศรีลังกาที่ต้องให้สิทธิการใช้ท่าเรือระยะยาวกับจีนในการปล่อยกู้ภายใต้ BRI ในระยะหลังมานี้ จีนเริ่มปรับแนวทางโดยหันมาใช้รูปแบบ “การลงทุนร่วม และเน้นโครงการขนาดเล็กลง“ แทนการปล่อยกู้มหาศาลแบบในอดีต และจีนมีการ ”ปรับโครงสร้างหนี้หรือผ่อนผันการชำระหนี้” ให้กับหลายประเทศ เช่น ประเทศลาว เพื่อรักษาเสถียรภาพของความร่วมมือในระยะยาว
หลังจบการบรรยาย ยังมีการจัดช่วงเสวนาโดยวิทยากรร่วมกับตัวแทนผู้อบรม โดยได้พูดคุยและแลกเปลี่ยนความเห็นกันหลายด้านทั้งกลยุทธ์ด้านความมั่นคงของจีน และแนวโน้มของตลาดจีนและตลาดโลกในอนาคต ทั้งนี้ หลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2 จัดโดย สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน สถาบันสื่อและบริหารธุรกิจไทย-จีน ร่วมกับหอการค้าไทย-จีน โดยได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และ รายการจับจ้องมองจีนโดย China Media Group มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจ และเตรียมความพร้อมให้กับตัวแทนภาครัฐ นักธุรกิจ สื่อมวลชนไทย-จีน ในการรับมือกับพลวัตของเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว