วันที่ 24 มิ.ย. 2568 มีรายงานข่าวแจ้งว่า มีโครงการประปาระบบผิวดิน ที่สร้างมาแล้ว 19 ปี ถูกปล่อยทิ้งร้าง บริเวณข้างวัดกลางเหนือ ในที่ดินของวัดกลางเหนือ หมู่ 2 ต.บางกุ้ง อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม เมื่อปี พ.ศ. 2549 ด้วยงบประมาณจำนวน 7,984,000 บาท โดย อบจ.สมุทรสงคราม เพื่อสร้างอาคารผลิตน้ำประปาดังกล่าวเรียกว่า “โครงการระบบประปาผิวดิน” เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ วัตถุประสงค์หลักเพื่อจัดหาน้ำดื่มน้ำใช้ให้กับประชาชนที่ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ อีกทั้งค่าน้ำประปาภูมิภาคมีราคาแพงกว่าโครงการนี้มีความสำคัญและมีประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะช่วงฤดูแล้งที่แหล่งน้ำธรรมชาติอาจมีปริมาณน้อย การมีแหล่งน้ำประปาผิวดินจะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดสำหรับการอุปโภคบริโภคได้อย่างเพียงพอและต่อเนื่องซึ่งการก่อสร้างขณะนั้นเรียกว่าใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่กลับถูกทิ้งร้างขาดการสานต่อ หลังการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร อบจ.สมุทรสงคราม เมื่อมีการเลือกตั้งตามวาระ กลับถูกทิ้งร้างแบบขาดการดูแลมาจนทุกวันนี้ เรื่องนี้จึงมีผู้ร้องเรียนไปที่สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดสมุทรสงคราม ขอให้เข้ามาตรวจสอบสาเหตุที่ถูกทิ้งร้าง เพราะเกรงว่าจะมีการทุจริตจนการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ที่สำคัญไม่มีผู้จ่ายค่าเช่าที่ดินให้กับวัด ล่าสุดทางวัดกลางเหนือได้ขอคืนพื้นที่ เพราะเห็นว่าไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว
น.ส.กาญจนา คำสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำ จ.สมุทรสงคราม เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่าโครงการฯ ดังกล่าว เป็นการก่อสร้างอาคารระบบน้ำประปาผิวดินสถานีใหญ่ เมื่อปี พ.ศ.2549 สมัยนั้น นายอำนวย ลิขิตอำนวยชัย เป็นนายก อบจ. ด้วยงบประมาณ จำนวน 7,984,000 บาท
กระทั่งปี พ.ศ. 2560 การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาสมุทรสงคราม ได้ดำเนินการขอรับโอนโรงกรองฯ ขนาด 100 ลบ.ม./ชั่วโมง พร้อมสิ่งก่อสร้างจาก อบจ.สมุทรสงคราม มีการลงนามบันทึกการส่งมอบและรับมอบสินทรัพย์ดังกล่าวกันเป็นที่เรียบร้อยน.ส.กาญจนา กล่าวต่อว่า จากนั้นในปี 2562 กปภ.สาขาสมุทรสงคราม ทราบว่าบริเวณดังกล่าวน้ำเค็มรุกเข้ามา ทำให้ไม่สามารถผลิตน้ำประปาได้ และต้องใช้งบประมาณถึง 15 ล้านบาทในการปรับปรุงเนื่องจากเป็นการสร้างที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ จึงได้ทำเรื่องขอส่งคืนทรัพย์สินประปาผิวดิน (สถานีใหญ่) ดังกล่าวให้กับ อบจ.สมุทรสงครามโดยอ้างว่าไม่สามารถดำเนินการได้ประกอบกับการดำเนินการรับมอบมาไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของ กฎ ระเบียบ จึงเป็นโมฆะ เนื่องจากไม่ได้ดำเนินการตามบัญญัติแห่งกฎหมาย และผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาคไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ เนื่องจากไม่ได้มีการรายงานให้กับผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาครับทราบ
น.ส.กาญจนา กล่าวต่อว่า สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำ จ.สมุทรสงคราม จึงนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะกรรมการผลักดันการดำเนินงานตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ จ.สมุทรสงคราม เพื่อแก้ไขปัญหาในการประชุมครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2567 จนถึงการประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 (จำนวน 5 ครั้ง)ปัจจุบันทาง อบจ.สมุทรสงคราม รายงานว่าได้ทำหนังสือสอบถามไปยังกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นว่าทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของหน่วยงานใดกันแน่ เพราะทาง อบจ.สมุทรสงคราม ได้ตัดออกจากบัญชีทรัพย์สินของ อบจ.นานแล้ว
ที่ผ่านมาทางการประปาต้องการคืนทรัพย์สินให้กับ อบจ.สมุทรสงคราม ไปดำเนินการ เพราะใช้ประโยชน์ไม่ได้และพยายามแจ้งขอคืนอย่างน้อย 3 ครั้งแล้ว แต่ทาง อบจ.ยืนยันไม่รับคืน อ้างว่าได้ตัดออกจากบัญชีทรัพย์สินนานแล้วเรื่องนี้จึงยังสรุปไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรกับสิ่งปลูกสร้างที่ถูกทิ้งร้าง เพราะเมื่อไม่ได้ทำประโยชน์ ทางวัดก็จะขอคืนพื้นที่ไปใช้ประโยชน์อื่น ที่สำคัญใครจะเป็นคนรื้อ เรื่องนี้จึงเป็นอุทาหรณ์ให้กับองค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท) ว่าการจะนำงบประมาณซึ่งเป็นเงินภาษีประชาชนไปสร้างอะไร ควรจะต้องนึกถึงความคุ้มค่าและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ที่สำคัญต้องสามารถใช้งานได้จริง ไม่ถูกปล่อยทิ้งร้าง