ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
เกษตรนำไทย ย้อนกลับ
เส้นทาง ทุเรียนไทย ฝ่าวิกฤตส่งออกไปจีน
01 มิ.ย. 2568

เส้นทาง "ทุเรียนไทย"

ฝ่าวิกฤตส่งออกไปจีน

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลไม้ที่ทำรายได้และชื่อเสียงให้กับประเทศเห็นจะไม่มีชนิดไหนเกินไปกว่า "ทุเรียน" ที่คนไทยเราเรียกขานว่า "ราชาแห่งผลไม้"

 

โดยในปี พ.ศ.2566ไทยส่งออกทุเรียนเป็นมูลค่ารวม 1.4 แสนล้านบาท โดยมีจีนเป็นตลาดส่งออกหลักหรือคิดเป็นสัดส่วน 97.4% ของมูลค่าการส่งออกทุเรียนสดทั้งหมด

 

ในปี 2567 ไทยส่งออกทุเรียนและผลิตภัณฑ์มูลค่ารวม 4,404.9 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ157,506 ล้านบาท ทุเรียนสดมีมูลค่า 3,755.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (134,852 ล้านบาท) และทุเรียนแช่แข็งมีมูลค่า 649.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (22,654 ล้านบาท) ตลาดส่งออกหลักยังคงเป็นจีน

 

และล่าสุดปี 2568 ช่วง 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ.) ไทยมีมูลค่าส่งออกทุเรียนรวม 128.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 4,374 ล้านบาท ปริมาณ 24,365 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.87 แบ่งเป็น ทุเรียนสด 85.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2,918 ล้านบาท และทุเรียนแช่เย็นจนแข็ง 42.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1,456 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนพบว่า ไทยมีมูลค่าส่งออกทุเรียนรวม 137.9 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 4,822 ล้านบาท ปริมาณ 24,155 ตัน แบ่งเป็นทุเรียนสด 99. 1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3,469 ล้านบาท และ ทุเรียนแช่เย็นจนแข็ง 38.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1,353 ล้านบาท

 

ปี 2568 ผลผลิตเพิ่ม

หันมาดูผลผลิตในประเทศกันบ้าง สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) รายงานเมื่อเดือนเษายน 2568 ที่ผ่านมานี้ว่า ทุเรียน ปี 2568 เนื้อที่ให้ผล 1,265,701 ไร่ เพิ่มขึ้นจาก 1,138,475 ไร่ (เพิ่มขึ้น 127,226 ไร่ หรือร้อยละ 11.18) ผลผลิต 1,682,484 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 1,287,048 ตัน (เพิ่มขึ้น 395,436 ตัน หรือร้อยละ 30.72) ผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผล 1,329 กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มขึ้นจาก 1,131 กิโลกรัมต่อไร่ (เพิ่มขึ้น 198 กิโลกรัมต่อไร่ หรือร้อยละ 17.51)

 

ส่งออกสะดุด/จีนพบสารปนเปื้อน

 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การส่งออกทุเรียนไปยังจีนยังดูสดใส และก็ไม่ใครคาดคิด เพราะพลันเมื่อช่วงต้นเดือน ก.ย. 2567 หลายฝ่ายแทบช็อกเมื่อศุลกากรจีน (GACC) แจ้งมายังทางการไทยว่าตรวจพบสารปนเปื้อนแคดเมียมในทุเรียนไทยที่ส่งออกไปยังจีนระหว่างเดือน มี.ค. ถึง เดือน ส.ค.

โดยเป็นทุเรียนจากโรงงานคัดบรรจุ 12 แห่ง และแหล่งเพาะปลูกทุเรียน 15 แห่ง ศุลกากรจีนจึงเรียกร้องให้ไทยดำเนินการตรวจสอบและอธิบายที่มาที่ไปของ "ทุเรียนไทยปนเปื้อนแคดเมียม" พร้อมกับแสดงความวิตกว่า ไทยอาจเผชิญมาตรการระงับการส่งออกผลไม้ไปยังจีน และจะกระทบต่อรายได้การส่งออกทุเรียนไทยที่มีมูลค่าสูงกว่าแสนล้านบาท 

 

ต่อเนื่องมาถึงช่วงต้นปี 2568 การส่งออกทุเรียนไทยไปประเทศจีนยังคงประสบปัญหา โดยจีนไม่อนุญาตให้นำเข้าเนื่องจากพบการปนเปื้อนสารอันตรายจากการใช้สีเบสิคเยลโล่ ทู (Basic Yellow 2 : BY2) มาย้อมลูกทุเรียน โดยสีกลุ่มนี้ไว้ใช้ย้อมผ้า กระดาษหนังและสีทาบ้าน และองค์การอนามัยโลกจัดให้สารนี้เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 2 และทางการจีนได้กำหนดตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม ให้ทุเรียนไทยที่ส่งออกมาจีนทุกล็อต ต้องมีเอกสารแสดงผลการตรวจวิเคราะห์สาร (Basic Yellow 2) และจะมีการสุ่มตรวจด้วย 

 

และเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 ล้งทุเรียนหลายแห่งประกาศหยุดรับซื้อทุเรียนที่ส่งออกไปจีนเป็นการชั่วคราว เพราะไม่สามารถส่งออกได้ ทำให้ทุเรียนที่จะจัดส่งไปประเทศจีนประมาณ 100 ตู้คอนเทนเนอร์ ยังค้างด่านไม่สามารถนำเข้าประเทศจีน เนื่องจากต้องรอความชัดเจนถึงปัญหาที่เกิดขึ้น

 

กรมวิชาการเกษตรเร่งแก้ปัญหา

 

ร้อนถึงหน่วยงานไทยอย่างกรมวิชาการเกษตรต้องออกโรงเข้าแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยได้ออกประกาศกรมวิชการเกษตร เรื่อง มาตรการควบคุมการปนเปื้อนสารห้ามใช้ในทุเรียนผลสดส่งออกไปสาธารณรัฐประชาชนจีน

 

1. ห้ามโรงคัดบรรจุใช้ "สารห้ามใช้"ในกระบวนการคัดบรรจุ เช่น Basic yellow 2ในทุเรียนผลสดอย่างเด็ดขาด 2. โรงคัดบรรจุต้องใช้ "สารที่อนุญาตให้ใช้" ในกระบวนการคัดบรรจุ ตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร และ 3. กรมวิชาการเกษตรจะ "set zero" การใช้สารเคมีในโรงคัดบรรจุใหม่ทั้งหมด 

 

พร้อมเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สมาคมภาคเอกชน และผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุทุเรียนและลำไย ร่วมประชุมหารือเร่งด่วนผ่านระบบออนไลน์ทั่วประเทศ เพื่อพิจารณาแนวทางยกระดับการควบคุมตรวจสอบสารห้ามใช้ ได้แก่ Basic yellow 2 และแคดเมียมในทุเรียน โดยกำหนดให้ทุเรียนที่จะส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ต้องปฏิบัติตามประกาศกรมวิชาการเกษตรอย่างเคร่งครัด 

 

นอกจากนี้ กรมวิชาการเกษตร พร้อม นำมาใช้มาตรการ 4 ไม่ ได้แก่ 1. ไม่อ่อน 2. ไม่หนอน 3. ไม่มีสวมสิทธิ์ และ 4. ไม่สีไม่มีสารเคมีต้องห้ามมีเป้าหมาย "Set Zero" การใช้สารเคมีในโรงคัดบรรจุทั้งหมด

 

รมว.นฤมล หารือจีน /ไฟเขียวเพิ่ม Lab ตรวจ

 

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) ได้ประชุมหารือและทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อศึกษาแนวทางและมาตรการในการอำนวยความสะดวก

และแก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนไทยไปจีนล่าสุด กรมวิชาการเกษตรได้รับแจ้งจากสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงปักกิ่ง ว่า GACC ได้แจ้งผลการพิจารณาการขอกลับมามีคุณสมบัติ (Resume)ห้องปฏิบัติการไทยจำนวน 3 แห่ง ได้แก่

 

1) บริษัท ยูโรฟินส์ ฟู้ด เทสติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด 2) บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด สาขาสมุทรสาคร และ 3) บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด สาขาขาฉะเชิงเทรา ซึ่งทั้ง 3 แห่ง สามารถออกใบรายงานผลทดสอบได้ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2568 ส่งผลให้ปัจจุบันไทยมีห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์หาสาร BY2 ในทุเรียนสดก่อนส่งออกไปจีน จำนวน 12 แห่ง และอยู่ระหว่างยื่นขอกลับมามีคุณสมบัติอีกครั้ง (Resume) จำนวน 1 แห่ง

 

"กระทรวงเกษตรฯ ขอเน้นย้ำให้ผู้ประกอบการควบคุมการผลิตทุเรียนส่งออกให้เป็นไปตามมาตรการที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด รวมถึงขอให้ผู้ประกอบการทำความสะอาดโรงคัดบรรจุและอุปกรณ์ที่ใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การส่งออกสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องไม่ติดขัด และมั่นใจว่ามี Lab เพียงพอที่จะรองรับปริมาณทุเรียนจำนวนมากที่จะส่งออกไปจีนอย่างแน่นอน" ศ.ดร.นฤมล กล่าว

 

เส้นทางรถไฟ จีน-ลาว จุดเปลี่ยนสำคัญ

 

รายงานจากสำนักข่าวชินหัว เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2568 ศุลกากรหนานซา เมืองกว่างโจว ได้ดำเนินการตรวจปล่อยทุเรียนไทยล็อตใหญ่จำนวน 117 ตู้คอนเทนเนอร์ น้ำหนักรวม กว่า 1,600 ตัน ซึ่งประกอบด้วยทุเรียนสายพันธุ์ยอดนิยม อาทิ ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง ทุเรียนพันธุ์ก้านยาว ทุเรียนพันธุ์กระดุมและทุเรียนพันธุ์ชะนี โดยทุเรียนทั้งหมดถูกกระจายเข้าสู่ห้างค้าส่งและซูเปอร์มาร์เก็ตในเขตเศรษฐกิจพิเศษกวางตุ้ง ฮ่องกง และมาเก๊า

 

โดยตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. เรือขนส่งทุเรียนจากต่างประเทศทยอยเทียบท่าหนานชาอย่างต่อเนื่อง ท่าเรือหนานชายังมีเรือเร็วที่ขนส่งทุเรียนจากไทยแล้ว รวม 9 ลำ คิดเป็น 200 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือราว 2,500 ตัน สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความต้องการบริโภคทุเรียนของผู้บริโภคชาวจีนยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าราคาทุเรียนในช่วงต้นฤดูกาลจะยังคงมีราคาสูง

 

ปี 2568 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเส้นทางโลจิสติกส์ผลไม้ไทยโดยเฉพาะทุเรียน เมื่อขบวนรถไฟจีน-ลาว (China-Laos Railway) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Belt and Road Initiative ได้เริ่มใช้เป็นเส้นทางนำเข้าทุเรียนอย่างเป็นทางการ โดยทุเรียนล็อตแรกถูกบรรจุในตู้ควบคุมอุณหภูมิจากคลังรวบรวมผลไม้ในจังหวัดจันทบุรี เดินทางข้ามแดนด้วยรถบรรทุกผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาวสู่นครหลวงเวียงจันทน์และเข้าสู่ระบบรถไฟบวนพิเศษจีน-ลาว ซึ่งเป็นขบวนรถไฟขากลับสำหรับขนส่งสินค้าเกษตร นำส่งถึงสถานีรถไฟนานาชาตินครเฉิงตูในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน จากนั้นสินค้าจะถูกถ่ายเทสู่ศูนย์โลจิสติกส์ของโครงการ "New Western Land-Sea Corridor" เพื่อเปลี่ยนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์และกระจายต่อไปยังตลาดต่างมณฑลนอกเสฉวน รวมถึงมณฑลกวางตุ้งและเจ้อเจียง 

 

จุดแข็งของเส้นทางใหม่นี้ คือ ลดระยะเวลาขนส่งจากเดิม 5-7 วัน (ทางเรือ) เหลือเพียง2-3 วัน ทำให้สินค้ายังมีความสดใหม่ ลดอัตราการเน่าเสียและความเสียหายระหว่างขนส่ง เส้นทางคมนาคมนี้เชื่อมโยงตลาดจีนฝั่งตะวันตก ซึ่งมีศักยภาพการบริโภคสูงซึ่งแต่เดิมเข้าถึงได้ยาก เช่น นครเฉิงตู ฉงซิ่งและซีอาน เป็นต้น

 

ราคาในจีนยังอยู่ในในระดับสูง

 

สำหรับราคาทุเรียนในจีนนั้นยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 15-20% แต่เริ่มมีสัญญาณของการปรับตัวลดลงโดยเฉพาะในเขตที่มีการนำเข้าสูง เช่น กว่างโจวและหางโจว ซึ่งผู้ค้าเริ่มคาดการณ์ว่าในช่วงกลางถึงปลายเดือน พ.ค. ราคาจะปรับลดลงอย่างชัดเจน เนื่องจาก pอุปทานจากประเทศไทยเข้าสู่ตลาดมากขึ้น จากการสำรวจตลาดค้าส่งและค้าปลีกในเมืองใหญ่ พบว่า ระดับราคาแตกต่างกันตามสายพันธุ์แหล่งที่มา วิธีขนส่ง และระดับคุณภาพของทุเรียน โดยมีรายละเอียดดังนี้

- ทุเรียนหมอนทองจากไทย ราคาประมาณ 29.8-55 หยวนต่อ 500 กรัม - ทุเรียนก้านยาวจากไทย ราคาประมาณ 38-43 หยวน 500 กรัม - ทุเรียนหมอนทองเกรด AA (ขนส่งทางอากาศ) ราคาสูงสุดถึง 55 หยวน - ทุเรียนมูชังคิงจากมาเลเซีย ราคาสูงสุดถึง 98 หยวน

 

ทั้งนี้ สคต. ณ นครเฉิงตู ให้ความเห็นว่า การขนส่งทุเรียนไทยล็อตใหญ่เข้าสู่จีนในปีนี้ ไม่เพียงตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะผู้นำตลาดผลไม้เมืองร้อน แต่ยังเปิดประตูสู่การกระจายสินค้าอย่างลึกซึ้งผ่านระบบโลจิสติกส์ใหม่ในภาคตะวันตกของจี นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของทุเรียนไทยในตลาดระดับพรีเมียม 

 

ในขณะที่จีนเองก็กำลังเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมทุเรียนในประเทศ ผู้ส่งออกไทยจึงต้องยกระดับมาตรฐานสินค้า พัฒนาแบรนด์และเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งออฟไลน์และออนไลน์ หากไทยสามารถรักษาคุณภาพ ควบคุมมาตรฐาน และใช้โอกาสเชิงโครงสร้างพื้นฐานได้ดี โอกาสที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจะยังคงเปิดกว้าง

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะอย่างไร แต่ "ทางรอดทุเรียนไทย คือลดต้นทุนการผลิต และผลิตทุเรียนคุณภาพ"

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 1 - 15 มิถุนายน 2568
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
02 มิ.ย. 2568
หากจะพูดหรือเอ่ยถึง “กูรู” หรือ “ผู้รู้” โดยเฉพาะด้านกฎหมาย ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางแล้ว ชื่อของ “ไพศาล พืชมงคล” ย่อมจะถูกปฎิเสธได้อยากยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่บุคคลผู้นี้จะคร่ำหวอดในวงการกฎหมายมาอย่างยาวนา...