เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 หลักสูตร “ผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2” (Young Executive Program – BTC.2) ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ร่วมกับหอการค้าไทย-จีน ภายใต้การสนับสนุนของ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และ China Media Group ได้จัดกิจกรรมเสวนาหัวข้อ วัฒนธรรมสานสัมพันธ์ไทย-จีน ณ ห้องพาโนรามา 1 ชั้น 14 โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ นับเป็นกิจกรรมสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้บริหารรุ่นใหม่ได้เรียนรู้มิติทางวัฒนธรรมที่มีบทบาทต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
งานเสวนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจากคุณนิพนธ์ วัฒนะสุวรรณกร หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ต้น สุวรรณกร” ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงในแวดวงวัฒนธรรม โดยมีคุณทีปกร โกมลพันธ์พร เป็นผู้ดำเนินรายการ การถ่ายทอดเนื้อหาเป็นไปอย่างเข้มข้น น่าสนใจ และเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ ผ่านประสบการณ์ตรงของวิทยากร
คุณนิพนธ์ได้แบ่งปันเรื่องราวเส้นทางชีวิตที่หลากหลาย ตั้งแต่การเริ่มต้นธุรกิจจากร้านขายรถบังคับวิทยุจากจีน ซึ่งต้องเผชิญกับอุปสรรคทางการตลาดและการยอมรับคุณภาพสินค้า กระทั่งสามารถพัฒนาแบรนด์และขยายกิจการได้อย่างมั่นคง ก่อนจะหันมาสนใจและสร้างธุรกิจในสายวัฒนธรรม โดยเริ่มจากความตั้งใจในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับครอบครัว ก่อนจะต่อยอดสู่การศึกษาลึกซึ้งด้านวัฒนธรรมจีน-ไทยอย่างจริงจัง
เนื้อหาสำคัญของการเสวนามุ่งเน้นไปที่การถ่ายทอดแนวคิด “พหุศรัทธา” ซึ่งสะท้อนถึงการผสมผสานความเชื่อระหว่างลัทธิขงจื้อ ศาสนาพุทธ และศาสนาเต๋า อันเป็นรากฐานสำคัญของวัฒนธรรมจีนที่ส่งผ่านมายังสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชุมชนชาวจีนโพ้นทะเล
ความเชื่อเหล่านี้ไม่เพียงหล่อหลอมวิถีชีวิต แต่ยังกลายเป็น “soft power” ทางวัฒนธรรมที่สามารถเชื่อมโยงผู้คนข้ามเชื้อชาติและข้ามรุ่นได้อย่างแนบแน่น
ในมิติของลัทธิขงจื้อ วิทยากรกล่าวถึงความเป็นมาของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เกิดในยุคราชวงศ์โจว ผู้เผยแพร่หลักคุณธรรม 5 ประการ ได้แก่ มนุษยธรรม คุณธรรม จารีต สัจจะ และ สติปัญญา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาปัจเจกบุคคล เพื่อสร้างสังคมที่มีคุณภาพ โดยแนวคิดนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในยุคราชวงศ์ฮั่น หรือ 600 ปีต่อมา และยังคงมีอิทธิพลต่อสังคมจีนจวบจนปัจจุบัน
สำหรับศาสนาพุทธ วิทยากรได้อธิบายถึงการสังคายนาคำสอนและการแตกแขนงออกเป็นนิกายเถรวาท (ซึ่งเป็นที่ยึดถือในไทย) และมหายาน (ที่ได้รับความนิยมในจีน) โดยชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างทั้งด้านแนวคิด พิธีกรรม และการดำเนินชีวิต เช่น ความเชื่อเรื่องการหลุดพ้นด้วยตนเองในเถรวาท กับอุดมการณ์ของพระโพธิสัตว์ในมหายานที่มุ่งช่วยเหลือมวลมนุษย์ก่อน
นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงศาสนาเต๋า ซึ่งเป็นศาสนาเดียวที่กำเนิดบนผืนแผ่นดินจีน โดยมีพื้นฐานมาจากปรัชญาเต๋าของเล่าจื๊อและจวงจื๊อ เน้นการดำรงชีวิตอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ ความยืดหยุ่น และการปล่อยวาง เต๋ายังเน้นการแสดงออกผ่านพิธีกรรม เครื่องราง เชื่อในพลังแห่งจักรวาล ซึ่งยังคงมีอิทธิพลในพิธีกรรมและศิลปวัฒนธรรมไทย เช่น ยันต์ฮู้ เทพเจ้ากวนอู และศาลเจ้าต่างๆ
วิทยากรยกตัวอย่างพหุศรัทธาในวิถีชีวิตของคนไทยจากโต๊ะหมู่บูชา ที่มักมีทั้งพระพุทธรูป เจ้าแม่กวนอิม และยันต์จีนต่างๆ สะท้อนการผสานความเชื่อทั้งสามแนวทาง
ตอนท้ายของการเสวนา คุณนิพนธ์ได้ย้ำถึงบทบาทสำคัญของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางของพหุวัฒนธรรมที่สืบทอดมาจากจีน จนเปรียบได้กับ 'ตู้เซฟประวัติศาสตร์จีนโพ้นทะเล' พร้อมเสนอแนวทางว่าคนไทยควรอนุรักษ์อัตลักษณ์ของตนเองไว้ ได้แก่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความกตัญญู และการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับความหลากหลายได้อย่างมั่นคง
ทั้งนี้ หลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2 นี้จัดขึ้นภายใต้การสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการบริหารธุรกิจในบริบทไทย-จีน สนับสนุนการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และสร้างเครือข่ายผู้บริหารรุ่นใหม่จากภาครัฐ เอกชน และสื่อสารมวลชน ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างสองประเทศอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต