ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
การเมือง / การปกครอง ย้อนกลับ
คลัง จี้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ย หลังกำลังซื้อร่วง ฉุดจัดเก็บรายได้รัฐ
21 มี.ค. 2567

“กระทรวงการคลัง” ได้เสนอธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อีกครั้งถึงการลดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า 2.5% หลังจากพบข้อมูลกำลังซื้อที่ลดลงอย่างต่อเนื่องกระทบอัตราการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล ล่าสุดการจัดเก็บรายได้รัฐบาล 4 เดือนแรกต่ำกว่าประมาณการ 8,836 ล้าน

อัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทยที่อยู่ที่ระดับ 2.5% มาระยะหนึ่ง เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดกระทรวงการคลัง ส่งสัญญาณไปถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธทป.) ว่า ดอกเบี้ยที่สูงทำให้กำลังซื้อประชาชนอ่อนแรงลง การซื้อสินค้าคงทนอย่างรถและบ้านลดลงและมีส่วนทำให้การจัดเก็บรายได้ของภาครัฐต่ำกว่าเป้าหมาย

 

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาล สุทธิในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567 (ต.ค.2566-ม.ค.2567) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิจำนวน 824,115 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 8,836 ล้านบาท และเป็นการจัดเก็บรายได้ลดลง 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ผลการจัดเก็บบรายได้ของภาครัฐที่ต่ำกว่าเป้าหมาย เป็นสัญญาณที่สะท้อนว่าเศรษฐกิจกำลังอยู่ในสภาวะชะลอตัว โดยส่วนหนึ่งมาจากความสามารถในการซื้อที่ลดลง เนื่องจากการดำเนินนโยบายคงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน 

โดยเฉพาะการตัดสินใจซื้อรถยนต์ และที่อยู่อาศัย ที่แม้จะยังมีดีมานด์อยู่แต่ประชาชนขาดความสามารถในการผ่อนชำระ เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงจึงทำให้ยอดผ่อนชำระสูงขึ้นด้วย ยอดโอนรถยนต์หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ลดลงจึงทำให้การจัดเก็บภาษีซึ่งเป็นรายได้ของรัฐบาลลงตามไปด้วย

“เชื่อว่าการลดอัตราดอกเบี้ยลงในเวลานี้ จะช่วยเข้ามาประคับประคองเศรษฐกิจที่อยู่ในสภาวะซบเซาได้ และเป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าภาครัฐจะเริ่มดำเนินมาตรการเพื่อเข้ามาช่วยประคองเศรษฐกิจ ขณะที่หากปล่อยให้เศรษฐกิจซบเซาลงต่อเนื่อง จะต้องใช้เงินมากกว่าในปัจจุบันเพื่อดึงให้เศรษฐกิจฟื้นกลับมา”

นายลวรณ กล่าวต่อว่า การลดอัตราดอกเบี้ยในวันนี้อาจจะไม่ได้ส่งผลต่อเศรษฐกิจในทันที แต่อาจต้องใช้เวลามากกว่า 6 เดือน จึงไม่กังวลประเด็นที่ว่าจะกระทบกับอัตราเงินเฟ้อในประเทศ รวมทั้งประเด็นที่ว่าจะทำให้เงินไหลออกนอกประเทศ เนื่องจากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยของไทยก็มีความต่างจากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐมากอยู่แล้วหากธปท. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาระดับหนึ่งก็จะไม่กระทบกับอัตราแลกเปลี่ยนแต่อย่างไร

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าการจัดเก็บรายได้ที่ลดลงส่วนหนึ่งเป็นการจัดเก็บรายได้ที่ลดลงโดยกรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการ เนื่องจากมีการปรับลดอัตราภาษีน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน

ขณะที่หน่วยงานที่จัดเก็บรายได้สูงกว่าประมาณการที่สำคัญ ได้แก่ รัฐวิสาหกิจ เนื่องจากรัฐวิสาหกิจบางแห่งมีการนำส่งรายได้เหลื่อมมาจากปีก่อนหน้า และกรมสรรพากร โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม

ทั้งนี้ หากไม่รวมรายได้พิเศษรวม 36,666 ล้านบาท จากฐานการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้รัฐบาลสุทธิจะสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.7%

ขณะที่การจัดเก็บรายได้ของ 3 กรม มียอดจัดเก็บ 835,477 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 15,899 ล้านบาท หรือ 1.9% แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 1.8% แบ่งออกเป็น

  • กรมสรรพากร จัดเก็บได้ที่ 622,691 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 6,780 ล้านบาท หรือ 1.1% และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 1.5%
  • กรมสรรพสามิต จัดเก็บได้ที่ 172,821 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 23,744 ล้านบาท หรือ 12.1% แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 7.7%
  • กรมศุลกากร จัดเก็บได้ที่ 39,965 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 1,065 ล้านบาท แต่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 15.2%

ขณะที่ฐานะการคลังของรัฐบาลในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567 (ต.ค.2566 - ม.ค.2567) รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังท้ังสิ้น 831,752 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณท้ังสิ้น จำนวน 1,182,526 ล้านบาท

โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลจำนวน 20,000 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนม.ค.2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 172,928 ล้านบาท

ม.หอกการค้าคาด กนง.ลดดอกเบี้ย 0.25-0.5% 

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ความเป็นไปได้ในการลดดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ส่วนตัวมองว่า มีโอกาสที่ปีนี้จะลดดอกเบี้ยนโยบายได้ 2 ครั้ง หรือ 0.25-0.50% หลังจากที่สหรัฐฯลดดอกเบี้ยแล้ว เพื่อพยุงให้เงินเฟ้อพื้นฐาน ที่เกิดจากการบริโภคที่แท้จริงยังขยายตัวได้ไม่ติดลบ เพราะถ้ายังติดลบต่อเนื่อง 

ปัจจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ากำลังซื้อประชาชนอ่อนแรง การลดดอกเบี้ยจะช่วยผ่อนคลายเศรษฐกิจ โดยจะอยู่ในภาวะเซฟโหมดแต่จุดสำคัญของเศรษฐกิจไทยคือ การส่งออก การท่องเที่ยวที่ดีขึ้น ราคาสินค้าเกษตรสำคัญอยู่ในระดับสูง จะเป็นจุดเปลี่ยนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตแบบรูปตัวยู (U) โดยการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทุกภาคส่วน จากเดิมเป็นรูปตัวเค (K) ที่เฉพาะคนมีรายได้เท่านั้นที่ยังใช้จ่ายอยู่

นอกจากนี้ หากมีมาตรการการคลังผ่านเงินโอน โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หากทำเร็วก็ยิ่งมีตัวกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีขึ้น โดยการใช้งบทุกๆ 100,000 ล้านบาทของเงินโอน จะทำให้จีดีพี ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.26% 

ประกอบกับการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว ผ่านมาตรการจูงใจ อาทิ ฟรีวีซ่าชั่วคราวหรือถาวร การเพิ่มรายได้นักท่องเที่ยวต่างชาติ และการเพิ่มรายได้จากการส่งออก ซึ่งทุกปัจจัยจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้จีดีพีในปีนี้ขยายตัวได้เกินกว่า 3%

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 เมษายน 2567
อปท.เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
27 ธ.ค. 2566
แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น ไม่เพียงต้องดูแลรักษาผู้ป่วยตามหลักการทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของผู้ป่วยอย่างแท้จริงอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่จะทำงานอาชีพนี้ ต้องมีหัวใจและอุดมการณ์ที่มีความเสียส...