ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
สังคม / บุคคล ย้อนกลับ
สภาม.รามฯ มีมติถอดสืบพงษ์พ้นอธิการบดี
09 พ.ย. 2565

สภามหาวิทยาลัยรามคำแหง (ม.ร.) ได้ออกแถลงข่าว ฉบับที่ 1 เรื่อง การถอดถอน ผศ.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ อธิการบดี ม.ร.ออกจากตำแหน่งอธิการบดี ม.ร.ภายหลังสภา ม.ร.ประชุมเกี่ยวกับการพิจารณาผลการสอบสวนเรื่องที่ ผศ.สืบพงษ์ ถูกร้องเรียนว่าอาจเข้าข่ายกระทำความผิด และมีคุณสมบัติต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งอธิการบดี ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน จึงมีมติให้ถอดถอนให้พ้นจากตำแหน่งอธิการบดี ม.ร.และเห็นควรแจ้งให้ประชาคม ม.ร.ทุกภาคส่วน รับทราบข้อเท็จจริงตรงกันดังนี้

ด้วยเหตุที่ตำแหน่งอธิการบดี ม.ร.เป็นตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของมหาวิทยาลัย ผู้ที่ดำรงตำแหน่งสมควรที่จะต้องยึดถือคุณลักษณะของผู้บริหารที่พึงประสงค์ตามข้อบังคับ ม.ร.ว่าด้วยคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของผู้บริหาร พ.ศ.2562 อย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นแบบอย่างของผู้นำที่ดีให้แก่ผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ บุคลากร ตลอดจนนักศึกษา ทั้งศิษย์เก่า และศิษย์ปัจจุบัน อันเป็นการธำรงไว้ซึ่งเกียรติยศ ชื่อเสียง และหลักธรรมาภิบาลของ ม.ร.แต่ ผศ.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ กลับกระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี และข้อบังคับ และระเบียบของ ม.ร.โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อบังคับ ม.ร.ว่าด้วยคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของผู้บริหาร พ.ศ.2562 ด้วยพฤติการณ์ ดังต่อไปนี้

1. ผศ.สืบพงษ์ ได้ใช้วุฒิการศึกษาปริญญาเอกที่ไม่ได้รับการรับรองจากสำนักงาน ก.พ.ในการสมัครเข้าบรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ตำแหน่งอาจารย์ คณะศึกษาศาสตร์ โดยสำนักงาน ก.พ.ได้รายงานให้สภา ม.ร.ทราบว่า จากการตรวจสอบวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอกของ ผศ.สืบพงษ์ ปรากฏว่า “ไม่พบข้อมูลระดับปริญญาเอก” รายละเอียดปรากฏตามหนังสือลับจากสำนักงาน ก.พ.ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2565

ทั้งนี้ การใช้คุณวุฒิการศึกษาที่สำนักงาน ก.พ.รับรองถือเป็นคุณสมบัติสำคัญตามข้อบังคับ ม.ร.ว่าด้วยการบริหารงานบุคคลพนักงานมหาวิทยาลัย งบประมาณแผ่นดิน พ.ศ.2551 ข้อ 20.1 และข้อบังคับ ม.ร.ว่าด้วยการบริหารงานบุคคลพนักงานมหาวิทยาลัย พ.ศ.2556 ข้อ 26(1) ที่กำหนดให้พนักงานมหาวิทยาลัย สายวิชาการ สามารถได้รับค่าจ้างตามคุณวุฒิ และตามที่ ก.พ.กำหนด จึงหมายความว่า คุณวุฒิของพนักงานมหาวิทยาลัย สายวิชาการ ที่จะสามารถได้รับค่าจ้างตามอัตราเงินเดือนที่สำนักงาน ก.พ.กำหนด ต้องเป็นคุณวุฒิที่สำนักงาน ก.พ.รับรองเท่านั้น และจากบทบัญญัติในข้อบังคับฯ ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ย่อมแสดงให้เห็นว่าคุณวุฒิการศึกษาที่สำนักงาน ก.พ.รับรองถือเป็นคุณสมบัติประการสำคัญในการบรรจุบุคคลเข้าเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยของ ม.ร.เป็นอย่างยิ่ง เพื่อจะได้บรรจุบุคคลให้ตรงตามความต้องการของมหาวิทยาลัย รวมทั้ง จะต้องเป็นคุณวุฒิจากหลักสูตรการศึกษาที่มีมาตรฐานตามเกณฑ์สากล เพื่อให้การกำหนดอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒินั้น เหมาะสม และเป็นธรรม

ดังนั้น การที่สำนักงาน ก.พ.ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการตรวจสอบคุณวุฒิการศึกษาสำหรับผู้ที่จะได้รับการบรรจุเข้าเป็นข้าราชการ หรือพนักงานราชการในหน่วยงานของรัฐ ประกอบกับข้อบังคับของ ม.ร.ยังยึดโยงอยู่กับสำนักงาน ก.พ.เกี่ยวกับการรับรองคุณวุฒิการศึกษา กรณีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับวุฒิการศึกษาในระดับปริญญาเอกของ ผศ.สืบพงษ์ ย่อมมีมูลรับฟังได้ว่า ผศ.สืบพงษ์ เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการเข้าเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ตำแหน่งอาจารย์ คณะศึกษาศาสตร์ มาตั้งแต่ต้น และจะไม่มีผลงานการสอน หรือมีประสบการณ์ด้านบริหารที่จะมีคุณสมบัติสมัครเข้ารับการสรรหาเป็นอธิการบดี ม.ร.ตามาตรา 23 แห่ง พ.ร.บ.ม.ร.พ.ศ.2541

2. ผศ.สืบพงษ์ ได้ทำการรับโอนทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งถือเป็นความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ จากนาย ส โดยการรับโอนทรัพย์สินดังกล่าว เป็นการรับโอนที่ดินจำนวน 2 แปลง ได้แก่ ที่ดินโฉนดเลขที่ 52022 ต.บางปลากด อ.องครักษ์ จ.นครนายก และที่ดินโฉนดเลขที่ 52023 ต.บางปลากด อ.องครักษ์ จ.นครนายก เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2554 ซึ่ง ผศ.สืบพงษ์ ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยแล้ว และการรับโอนทรัพย์สินดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากการที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน นาย ส กรณีมีเหตุควรเชื่อว่านาย ส ร่ำรวยผิดปกติแล้ว และในท้ายที่สุด ผศ.สืบพงษ์ ได้ถูกศาลฎีกาพิพากษายึดที่ดินดังกล่าวทั้ง 2 แปลง ตกเป็นของแผ่นดินตามคำพิพากษาฎีกา ที่ 469/2561

นอกจากนี้ คณะกรรมการเพื่อพิจารณา และเสนอความเห็นฯ ที่แต่งตั้งโดยสภา ม.ร.ยังได้ตรวจสอบพบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอีกว่า หลังจากที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาแล้ว ผศ.สืบพงษ์ ไม่ได้นำส่งมอบโฉนดที่ดินทั้ง 2 แปลงตามคำพิพากษาศาลฎีกา จนล่วงเลยระยะเวลามาประมาณ 2 ปีเศษ กระทั่งกระทรวงการคลังได้ยื่นคำขอโอนตามกฎหมายโดยขอออกโฉนดใบแทน และได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนโอนให้กระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผศ.สืบพงษ์ ทั้งในฐานะพนักงาน ม.ร.และต่อมาดำรงตำแหน่งประธานสภาคณาจารย์ ม.ร. คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย ตลอดจนกระทั่งดำรงตำแหน่งอธิการบดี ม.ร.ในปัจจุบัน กลับไม่เคยรายงานให้มหาวิทยาลัยได้ทราบถึงเรื่อราวดังกล่าว ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญที่ควรแจ้งให้มหาวิทยาลัยทราบ เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติ และคุณสมบัติต้องห้ามผู้บริหาร และเป็นการฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรี ตลอดจนละเมิด พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2547มาตรา 39 วรรคท้าย

และมาตรา 40 รวมทั้ง พฤติการณ์ดังกล่าวอาจเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความผิดเกี่ยวกับการรับโอนทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อน หรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่า ก่อน ขณะ หรือหลังการกระทำความผิดมิให้ต้องรับโทษ หรือรับโทษน้อยลงในความผิดมูลฐาน ซึ่งถือเป็นความผิดฐานฟอกเงิน ตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และมีอายุความ 15 ปี

3. ผศ.สืบพงษ์ ทูลเกล้าฯ ถวายฎีการ้องขอความเป็นธรรมจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ จงใจบิดเบือนข้อมูล ใส่ร้ายป้ายสีกรรมการสภา ม.ร.ด้วยการตัดแต่งข้อมูลอย่างปราศจากมโนสำนึก ขาดความรับผิดชอบ และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ เพื่อสกัดกั้นไม่ให้สภา ม.ร.ดำเนินการตรวจสอบ หรือสอบสวนเรื่องต่างๆ ที่ถูกร้องเรียน

กรณีการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกานั้น สืบเนื่องจาก ผศ.สืบพงษ์ ได้เคยถูกสภา ม.ร.ถอดถอนออกจากตำแหน่งอธิการบดีมาครั้งหนึ่งแล้ว ด้วยข้อหาจงใจฝ่าฝืนข้อบังคับ ม.ร.ว่าด้วยการประชุมสภามหาวิทยาลัย พ.ศ.2541 แต่ได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ดังเดิมด้วยคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองสูงสุด แต่ ผศ.สืบพงษ์ ยังจงใจใช้สิทธิซ้ำซ้อนในการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอความเป็นธรรม ทั้งๆ ที่เรื่องดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง อย่างไรก็ตาม สภา ม.ร.ได้ทำหนังสือชี้แจงเกี่ยวกับการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาของ ผศ.สืบพงษ์ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบแล้ว 

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 เมษายน 2567
อปท.เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
27 ธ.ค. 2566
แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น ไม่เพียงต้องดูแลรักษาผู้ป่วยตามหลักการทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของผู้ป่วยอย่างแท้จริงอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่จะทำงานอาชีพนี้ ต้องมีหัวใจและอุดมการณ์ที่มีความเสียส...