จาก 3 หน่วยงานหลักด้านเกษตรและสิ่งแวดล้อม ได้แก่กรมวิชาการเกษตร กรมการข้าวและองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)ผนึกกำลังหารือแนวทางความร่วมมือ“ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตร”โดยเฉพาะใน “นาข้าว” ซึ่งเป็นแหล่งปล่อยก๊าซมีเทนสำคัญของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและนโยบายของร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มุ่ง“เกษตรเพื่อสิ่งแวดล้อม เกษตรลดโลกร้อน และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร”
โดยทั้งสามหน่วยงานจะร่วมกันขับเคลื่อนเชิงรุก จัดทำ“ต้นแบบความร่วมมือเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตร”โดยเริ่มจากพืชเศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ข้าว ทุเรียน อ้อย และปาล์มน้ำมันซึ่งเป็นกลุ่มพืชที่มีศักยภาพสูงในการลดการปล่อยคาร์บอนและเข้าสู่ระบบคาร์บอนเครดิต ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่าได้ประกาศนโยบาย“เกษตร BCG เพื่อโลกยั่งยืน” (Bio-Circular-Green Economy) มุ่งส่งเสริมการผลิตที่ลดการปล่อยคาร์บอน ควบคู่กับการสร้างรายได้ใหม่ให้เกษตรกรจากคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit)และเศรษฐกิจสีเขียวในชนบท
นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ภาคการเกษตรถือเป็นภาคส่วนสำคัญที่ต้องเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมายของประเทศ โดยกรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในพืชเศรษฐกิจหลายชนิด พร้อมทั้งจัดทำโครงการต้นแบบเพื่อรับรองคาร์บอนเครดิตภาคเกษตรตามมาตรฐานT-VERขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.)
อีกทั้งกรมยังได้รับการรับรองเป็นหน่วยตรวจประเมินภายนอก (Validation and Verification Body: VVB) ซึ่งปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ของกรมวิชาเกษตรเป็นผู้ตรวจประเมินแล้วจำนวน 4 ราย และอยู่ระหว่างพัฒนาผู้ตรวจอีกกว่า 30 ราย ซึ่งถือเป็นการยกระดับบทบาทของภาครัฐให้สามารถสนับสนุนเกษตรกรในการเข้าสู่ระบบคาร์บอนเครดิตได้อย่างครบวงจรตามแนวทางเพิ่มรายได้ ลดต้นทุน ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม อีกทั้ง อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ยังให้เพิ่มเติม ทุเรียน มะม่วง อ้อย และปาล์มน้ำมัน เป็นพืชนำร่องด้วย
ด้านนายอานนท์ นนทรีย์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า ข้าวเป็นพืชหลักที่มีส่วนสำคัญต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซมีเทนจากนาข้าว การดำเนินงานของกรมการข้าวในช่วงที่ผ่านมาได้เน้นส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่นการจัดการน้ำแบบเปียกสลับแห้ง (AWD)และการลดใช้ปุ๋ยเคมี ซึ่งนอกจากจะช่วยลดก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์แล้ว ยังลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มคุณภาพข้าวตามแนวทางมาตรฐานสินค้าเกษตรข้าวยั่งยืน มกษ.4408-2565
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการ อบก. กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน อบก. ได้จัดทำระเบียบวิธีคำนวณการลดก๊าซเรือนกระจกสำหรับนาข้าวในรูปแบบPremium T-VERซึ่งสามารถสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกรจากการขายคาร์บอนเครดิตได้โดยตรง ถือเป็นแรงจูงใจสำคัญให้เกษตรกรหันมาปรับระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่าที่เน้นให้กระทรวงเกษตรฯ “เพิ่มรายได้ ลดต้นทุน และลดคาร์บอน” พร้อมผลักดัน “Smart Farmer – Smart Carbon – Smart Economy” เพื่อให้เกษตรกรไทยอยู่รอดได้อย่างมั่นคงภายใต้เศรษฐกิจสีเขียวความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็น “หมุดหมายสำคัญ” ของการเกษตรไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ที่ไม่เพียงแต่ช่วยลดโลกร้อน แต่ยังสร้างรายได้ใหม่ เพิ่มขีดความสามารถของเกษตรกรไทย และตอบโจทย์เป้าหมายBCG Modelที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี