ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ย้อนกลับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนมพัทธ์ สมิตานนท์ จาก “สจ๊วตหนุ่ม” สู่ “นักวิชาการรัฐประศาสนศาสตร์ระดับสูง” มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
02 ธ.ค. 2568

            ต้องยอมรับว่า การปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยที่มั่นคง หัวใจสำคัญด้านหนึ่งต้อง มาจากฐานราก หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การปกครอง ส่วนท้องถิ่นต้องเข้มแข็ง ซึ่งประเทศไทยเราเอง ก็พัฒนาขึ้นมาเป็นลำดับโดยเฉพาะเมื่อรัฐธรรมนูญ 2540 เปิดศักราชใหม่ให้กับการกระจายอำนาจลงสู่ ฐานรากมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมายังคงมี ปัญหาบางประการโดยเฉพาะกับผู้นำท้องถิ่นและ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน นั่นเองจึงเป็นที่มาของการ กำเนิดขึ้นของนักวิชาการด้านการอบรมด้านนี้ขึ้น โดยเฉพาะ และอาจารย์ท่านหนึ่งที่คร่ำหวอดมา อย่างยาวนาน จนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ในวงการที่ อปท.นิวส์ อยากจะแนะนำและพาท่าน ผู้อ่านมารู้จักกับตัวตนของเขาผู้นั้น

นั่นก็คือ รองศาสตราจารย์ ดร.พนมพัทธ์ สมิตานนท์ ซึ่งปัจจุบันท่าดำรงตำแหน่งเป็น อาจารย์ สาขาวิชาวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช ในหลักสูตรรัฐประศาสน ศาสตรบัณฑิต วิชาเอกการบริหารการปกครอง ท้องที่ คณะกรรมการรางวัลพระปกเกล้า สถาบัน พระปกเกล้า ทั้งยังเคยดำรงตำแหน่ง รักษาการ อธิการบดี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) มาแล้ว และอาจารย์พนมพัทธ์ในวัย 49 ปี เริ่มเล่า รายละเอียดของชีวิตให้เราฟังว่า อาจารย์เติบโต ขึ้นในเขตกรุงเทพมหานคร โดยมีคุณพ่อคุณแม่ เป็นชาวเชียงใหม่ที่ได้ย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากที่ กรุงเทพฯ คุณพ่อทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ส่วนคุณแม่ก็เป็นแม่บ้าน มีพี่น้องทั้งหมดด้วย 3 คน เป็นผู้ชายทั้งหมด โดยอาจารย์ฯ เป็นลูกคนกลาง ชีวิตในวัยเด็กก็ไม่มีอะไรโลดโผนมากนัก การศึกษา ก็เริ่มเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา ตอนปลายที่โรงเรียนสาธิตเรียนสาธิตแห่ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งก็ไม่ลำบากเพราะ บ้านพักอาศัยก็อยู่ในไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก แค่ 3 ป้ายรถเมล์ ซึ่งแต่ก่อนแถวนี้เขาเรียก ทุ่ง บางเขน หลังจากจบมัธยมปลายที่สาธิตเกษตรฯ แล้ว ก็เข้าเรียนต่อได้ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ ด้านรัฐประสาศนศาสตร์ หรือ บริหารรัฐกิจ

“จบแล้วก็ว่างๆ หาประสบการณ์ต่างๆ อยู่สักปีสองปี ได้มีโอกาสเข้าไปทำงานที่บริษัท การบินไทย ในตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน หรือที่เรียกกันว่า สจ๊วด ฝั่งมีญาติๆ ทางฝั่งคุณพ่อแนะนำให้ ก็ทำอยู่ได้ 1 ปี เพราะได้สมัครไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศไว้ ก็ได้ไปต่อโทและเอกที่ The University of Akron, U.S.A ในด้านรัฐประสาศนศาสตร์ เช่นเดียวกัน ก็จบประมาณปี ค.ศ. 2008”

               หลังจากจบโทแลเอกที่อเมริกาแล้วก็กลับเมืองไทย ก็เริ่มไปสอนอบรม เป็นอาจารย์พิเศษตามสถาบันการศึกษาต่างๆ อย่างเช่นที่ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต หลังจากนั้นก็ไปสมัครเป็นนักวิชาการที่วิทยาลัยการเมืองปกครอง ของสถาบันพระปกเกล้า ในยุคของอาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ นั่งเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ก็เป็นอาจารย์อยู่ที่สถาบันพระปกเกล้า ประมาณ 4 ปี เกือบ 5 ปี ดูแลเรื่องการพัฒนาหลักสูตรและงานวิชาการ งานวิจัยต่างๆ ที่ฮือฮาในสมัยนั้นก็คือ งานศึกษาแนวทางการปรองดอง หลังจากนั้นก็มาสมัครเพื่อเข้าเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

               ต่อข้อถามว่า นึกอย่างไรถึงพุ่งเป้ามาสมัครเป็นอาจารย์ที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อาจารย์พนมพัทธ์ บอกว่า “คือจริงๆ แล้ว ผมเคยลงเรียนที่ มสธ.นี่นะ วิชาหนึ่ง แล้วตอนนั้นเราก็เคยเป็นอาจารย์มาก็รู้สึกว่า สิ่งหนึ่งที่ มสธ.อาจจะแตกต่างจากที่อื่น คือมีคนเรียนที่หลากหลาย มีหลายระดับมาก ก็มีตั้งแต่เด็ก มีทั้งคนทำงาน คนแก่ คือเขาจะมาเรียน เพราะมันเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต เขาสามารถเรียนไปได้เรื่อยๆ จะไม่เหมือนกับมหาวิทยาลัยปิดทั่วไป แต่เป็นมหาวิทยาลัยเปิด คือเป็นการเรียนทางไกล แบบส่งหนังสือให้ไปเรียนที่บ้าน ถึงเวลาก็มาสอบ สิ่งหนึ่งที่คิดคือ ตอนอยู่ที่สถาบันพระปกเกล้าก็ยังไม่ได้เป็นอาจารย์อะไรมากนัก ก็คิดอยากจะลองทำงานเป็นอาจารย์ดู แล้วการที่เคยได้ลองสอนมาก็คือว่าการเป็นอาจารย์น่าจะเหมาะกับเราก็เลยมาสมัครที่นี่”

               อาจารย์พนมพัทธ์ เล่าต่อไปว่า ได้เริ่มมาทำงานที่ มสธ. ตอนปี 2557 ก็ประมาณ 11 ปีแล้ว มาใหม่ๆ ก็ยังต้องปรับตัวให้เข้ากับกับระบบการเรียนการสอนของ มสธ. เพราะเป็นการเรียนแบบทางไกล เพราะฉะนั้นอาจารย์ มสธ.หลักๆจะไม่ใช่การสอนเป็นหลัก แต่จะเป็นการเขียนตำราเรียน เอกสารการสอน เขียนหนังสือให้คนที่ไม่มีเวลาเข้าชั้นเรียนสามารถเรียนได้ด้วยตนเอง คือสามารถอ่านและเข้าใจ ก็เป็นความท้าทายหนึ่ง เพราะเราเคยเราเคยมีประสบการณ์สอนที่เจอหน้ากัน ก็รู้สึกว่าปรัชญานี้น่าสนใจ และพอได้เข้ามาทำงาเรานก็รู้สึกแปลกจากที่อื่น เพราะว่าด้วยความที่เราก็จบมหาวิทลัยทั่วๆ ไป เห็นแต่คนวัยเดียวกันมาเรียนประมาณนี้

               แต่ที่นี่เห็นคนหลากหลาย รู้สึกว่าเป็นการขยายโอกาสในการศึกษาที่ดี คืออยากจะมาเรียนเมื่อไหร่ เขาก็มาเรียนบางทีเทอมหนึ่งก็ลงวิชาเดียว สะดวกแค่นี้ ก็เรียนแค่นี้ ก็เรียนไปเรื่อยๆ แล้วก็เรียนได้เป็น 10 ปี ก็เลยรู้สึกประทับใจ ก็มาสมัคร ก่อนจะเข้าได้ก็มีการสัมภาษณ์ก่อน แล้วก็มีการทำ workshop คือเหมือนกันฝึก ให้ทดลองเขียนเอกสารการสอนแล้วก็จะมีคณาจารย์มาวิพากษ์วิจารณ์ แล้วก็พิจารณาว่าเหมาะสมหรือเปล่า ก็ได้เข้ามาอยู่ที่สาขาวิชาการจัดการตั้งแต่เริ่มแรกเลย บางครั้งก็มีออกไปจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศด้วย

               “ก็เริ่มเปลี่ยนวิถีชีวิตการทำงาน ต้องเดินทางไปจังหวัดต่างๆ ทำให้ได้แลเห็นชีวิตคนในต่างจังหวัดมากขึ้น จนได้มีโอกาสได้สอนในหลักสูตรหนึ่ง เป็นหลักสูตรความร่วมมือของ มสธ.กับกระทรวงมหาดไทย สอนกำนันผู้ใหญ่บ้าน นี่เองคือจุดเริ่มต้นที่เข้าสู่การคลุกคลีในแวดวงท้องถิ่น ก็แบบว่าไปเจอคนระดับรากหญ้า ระดับชาวบ้าน ระดับผู้นำชุมชน ก็สอนมาเรื่อยๆ ในเรื่องของวิชาการ ก็ทำมาได้ประมาณ 3-4 ปี ก็มีโอกาสได้ขึ้นทำงานด้านการบริหาร ตอนนั้น มสะ.มีการเปลี่ยนประธานสาขาหรือคณบดี ก็มีทีมบริหาร มาเชิญชวนเป็นนั่งเป็นรองคณบดีเหมือนรองประธานสาขา ก็คิดอยู่ครู่หนึ่งว่า เรายังมีประสบการณ์น้อย ยังอยากสอนอยู่ แต่ท้ายสุดก็ได้เข้ามาเป็นรองประธานสาขาฯ ดูแลเรื่องการบริหาร”

               ต่อข้อถามว่า แล้วยังไงอาจารย์ถึงได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของท้องถิ่น อาจารย์พนมพัทธ์ บอกว่า ในการเรียนการสอนมีอยู่วิชาหนึ่ง เรียกว่า หลักการบริหารท้องถิ่น ก็ได้เริ่มเข้าไปศึกษา ได้เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับท้องถิ่นมากขึ้น ได้สอนบรรดาผู้นำท้องถิ่น กำนันผู้ใหญ่บ้าน ก็สอนสอนมาเกือบ 10 ปี ก็มีโอกาสได้เดินทางไปต่างจังหวัดหลายๆ จังหวัดนะคเหนือ กลาง อีสาน ใต้ ไปมาหมด ก็มีโอกาสได้เจอกับผู้นำท้องที่ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยแพทย์ สารวัตร ฯลฯ

               “เรื่องท้องถิ่นนี่ ผมเริ่มเข้ามาจริงๆ ก็คือตอนที่มาได้ทำงานวิจัย อาจารย์ท่านหนึ่งเป็นคณะอนุกรรมการเรื่องการให้เงินรางวัลองค์กรของประเทศที่มีการจัดการดี เป็นรางวัลของสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเขาจะตรวจท้องถิ่นทั่วประเทศ ผมก็มีโอกาสได้ไปร่วมเป็น 1 ในทีมวิจัยด้วย ที่นี้ในตอนนั้น มสธ.ได้ไปเป็นที่ปรึกษา ก็ต้องไปลงตรวจท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น อบต. อบจ. เทศบาล ได้คุยกับบุคลากรของท้องถิ่นมากขึ้น ก็ตรวจอยู่ 3 ปี แล้วมีพักไป 2 ปี ทำให้รู้จัก และก็เริ่มศึกษา คือของกำนันผู้ใหญ่บ้านก็เป็นเรื่องของท้องที่ ส่วนของท้องถิ่นก็จะเป็นพวก อบจ. อบต. เทศบาล ในเนี้ยก็เรื่องเริ่มคุ้นเคยกัน ไปมาหาสู่กันบ่อยขึ้น”

               อาจารย์พนมพัทธ์ บอกต่อว่า เมื่อเราลงไปพูด ไปปฎิบัติ เป็นผู้วิจัย ก็จะมีเห็นโครงสร้าง ประกอบกับเป็นวิชาที่ต้องสอนอยู่แล้ว ก็นำมาผนวกกันพอดี ก็เลยเริ่มมีความเข้าใจท้องถิ่นมากขึ้นเรื่อยๆ ก็สะสมประสบการณ์ จากการเป็นผู้ตรวจประเมิน แล้วก็เป็นผู้สอนในวิชาพวกนี้ ก็เกี่ยวข้องกับท้องถิ่น และทุกวันนี้ก็ยังเป็นคณะอนุกรรมการฯ จนกระทั่งมีการเปลี่ยนผู้บริหารมหาวิทยาลัย แล้วก็มีอาจารย์ท่านหนึ่งจะไปทำงานเป็นรองฝ่ายแผน ก็มาชวนผมไปเป็นผู้ช่วย โดยดูเรื่องแผนหรือเรื่องยุทธศาสตร์ แต่ก็ยังคงสอนอยู่ และก็ยังทำงานท้องถิ่นอยู่เหมือนเดิม ยังลงไปตรวจเหมือนเดิม ก็ไปเป็นผู้ช่วยอธิการฯ อยู่ 1 ปี แล้วตอนนั้นก็มีการเปลี่ยนผู้บริหารอีมีก ก็ได้มีโอกาสเข้ามาเป็นรองอธิการบดี แต่ก็ยังคงสอนอยู่ในเรื่องของท้องถิ่น

               “อยู่ในตำแหน่งรองอธิการบดีอยู่ 2 ปี ก็มีการเปลี่ยนอธิการบดี ซึ่งตอนนั้นผมอยู่ในตำแหน่งกรรมการสภามหาวิทยาลัยด้วย คือกรรมการสภามหาวิทยาลัยที่เป็นผู้แทนของบุคลากร เขาจะเลือกจากสภาวิชาการจะได้ผู้แทน 1 คนแล้วผมนั่งในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักวิชาการด้วย ก็ได้รับเลือกจากจากสภาวิชาการให้เข้าไปนั่งในกรรมการสภามหาวิทยาลัย ที่นี้ในตำแหน่งรักษาการอธิการบดี จะตั้งจากกรรมการสภามหาวิทยาลัยฯ โยนายกสภามหาวิทยาลัยสมัยนั้นก็เสนอชื่อผมเป็นรักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยฯ ก็เป็นอยู่ประมาณ 1 ปี 9 เดือน เกือบ 2 ปี ตอนนี้ก็ลงมาเป็นเป็นอาจารย์สอนธรรมดาทั่วไป ส่วนของสถาบันพระปกเกล้าก็เป็นกรรมการพิจารณาในเรื่องรางวัลพระปกเกล้าทองคำ ส่วนของสำนักนายกฯ ก็ยังเป็นกรรมการอยู่ ก็ยังคงดูแลเรื่องท้องถิ่น อันนี้คือความเชื่อมโยงกับท้องถิ่น”

ต่อข้อถามถึงมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของการพัฒนาท้องถิ่นของประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง อาจารย์พนมพัทธ์ ให้ความเห็นว่า ท้องถิ่นนี่จริงๆ เป็นกลไกลสำคัญ โดยท้องถิ่นเริ่มเข้ามามีบทบาทหลังรัฐธรรมนูญปี 40 มี พ.ร.บ.ต่างๆ ออกมา ไม่ว่าจะเป็นของ อบต. เทศบาล หลายๆ องค์กรตอนนี้ก็จะมีการรวบรวมหลายๆ พื้นที่ให้ขึ้นมาเป็นเทศบาลเมือง เทศบาลนคร ที่นี้บทบาทของท้องถิ่นในเรื่องของการพัฒนาในเชิงของพื้นที่กับประชาธิปไตย คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญเพราะว่า ที่มาของผู้นำท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ก็เป็นไปตามหลัปประชาธิปไตย

“ที่นี้ ประชาชนเขาก็จะมีผู้แทนที่เลือกตั้งกันเข้ามา แล้วก็มีข้าราชการประจำอีกส่วนนึ่ง ที่นี้ได้การพัฒนาผมคิดว่า

ถิ่นที่ใหญ่ๆ ภาษีก็เข้ามาเยอะ แต่ก็ต้องพึ่งพารัฐบาลอยู่ดี แต่ในอนาคตผมคิดว่า รัฐบาลเองก็ให้อำนาจกับท้องถิ่นมากขึ้น ถ่ายโอนบางภารกิจให้กับท้องถิ่น ก็เป็นแนวโน้มที่เรามีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ชัดเจน แต่อย่าให้เกิดความซ้ำซ้อน ปัญหาคือว่า ต้องให้ความรู้กับประชาชน ต้องประสานงานกันระหว่างท้องถิ่นกับส่วนกลาง เพราะยังต้องพึ่งพากัน”

                อาจารย์พนมพัทธ์ ยังบอกต่อไปว่า ในโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีไปมาก ท้องถิ่นเดี๋ยวนี้ทันสมัย มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มีแอปพลิเคชั่น มีเอไอ ข้อดีคือถ้าท้องถิ่นเข้มแข็ง ประชาธิปไตย ประเทศก็จะเจริญเข้มแข็งตามไปด้วย ปัจจุบันเราจะเห็นคนรุ่นใหม่เข้าไปเป็นผู้นำท้องถิ่นกันเยอะขึ้น จึงเป็นแนวโน้มที่ดี ทุกวันนี้ก็ยังคงลงไปตรวจดูท้องถิ่นอยู่ ก็ให้กำลังใจกัน นายก บางท่านกับผู้ทำงานดี มีความพยายามคิดนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาเสมอ เพื่อการทำงานใหม่ๆ เพื่อพัฒนาองค์กรของเขา ซึ่งวันนี้ก็ไปดูงาน บางเหมือนเป็นกระแส บางช่วงก็เล่นเรื่องขยะ บางช่วงก็เศรษฐกิจชุมชน บางเช่วงก็เล่นเรื่องทคโนโลยี มันจะเป็นเหมือนกระแส แต่พวกนี้เขาเรียนรู้ด้วยกันไว้ว่า คนเตรียมตัวขึ้นเยอะเยอะมากครับ

อยากฝากอะไรถึงคนท้องถิ่นบ้าง อาจารย์พนมพัทธ์ บอกว่า มี 2 เรื่องด้วยกัน คือผมเชื่อว่าท้องถิ่นเป็นกลไกสำคัญ อยากให้ทุกคนมีส่วนรวมในการปกครองส่วนท้องถิ่นมากขึ้น ตัดสินใจร่วมกัน เพราะทุกเรื่องอยู่ใกล้ตัวเรา แล้วก็ในส่วนของผู้บริหาร ผมก็เชื่อว่า การเรียนรู้ รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ คือโลกมันเล็กลง ท้องถิ่นเองก็ต้องหูตาให้กว้างขึ้นเรียนรู้มากขึ้น แล้วก็ทำงานคนเดียวมันยาก ต้องพยายามสร้างเครือข่ายในเชิงสร้างสรรค์ ในงานพัฒนาเครือข่าย ท้องถิ่นด้วยกัน เครือข่ายในเชิงของภาครัฐกับภาคเอกชน หรือแม้แต่ภาคประชาสังคมที่จะมาเป็นไม้เป็นมือเอามาช่วยกัน แล้วก็กระบวนการจะได้ไปได้

90%

“ท้องถิ่นก็คือส่วนย่อยของประเทศ ก็ต้องทำทั้งหมด สาธารณสุข การศึกษา การท่องเที่ยว เศรษฐกิจ มันก็ย่อมาทั้งหมด เราก็ต้องให้เขามีอาวุธ เราในฐานะที่เป็นนักวิชาการ เราก็ต้องคิดเพื่อไปตอบโจทย์ของพวกเขา ให้เขาสามารถเรียนรู้ได้ แล้วก็เอาใช้งานได้ นอกเหนือจากการสร้างเครือข่าย แล้วก็พัฒนาแลบอกต่อ ในเรื่องของแนวคิดการพัฒนาที่มองภาพรวม คืออยู่โดดเดี่ยวไม่ได้ ผมว่าท้องถิ่นต้องช่วยกันโต ในบางจังหวัดท้องถิ่นนี่เก่งมาก แต่รอบข้างเหมือนแบบยังไม่พัฒนาเลย ผมว่าถ้าช่วยกันกระจายแนวคิดการพัฒนา แล้วทำงานลักษณะของร่วมกันพัฒนาสร้างสรรค์ ผมเชื่อว่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดีในแก้ปัญหาในระบบของประเทศ”

เราทิ้งท้ายด้วยคำถามว่า อาจารย์มีปรัชญาชีวิตที่นำมาใช้ในการทำงานอนย่างไรบ้าง อาจารย์พนมพัทธ์ บอกว่า มีอยู่คนๆ หนึ่งที่ผมไม่อาจจะไม่กล่าวถึงไม่ได้ ก็คือ คุณปู่ ท่านเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรฯ เป็นหนึ่งในอธิการบดีวิทยาลัยของแม่โจ้ ก็คือศาสตราจารย์ พนม สมิตานนท์ ท่านเป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากจะเป็นอาจารย์เหมือนคุณปู่ อันนี้คือเป็นตัวบุคคลก่อน แล้วคุณพ่อผมอาจจะไม่ทำงานราชการ เพราะทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ก็ได้เรียนรู้ปรัชญาการทำงานในเชิงบวก คือถ้าเรามาเป็นผู้บริหาร สิ่งแรกที่ต้องทำคือต้องแก้ปัญหา แต่ก้มักเป็นปัญหาของคนอื่น

“แล้วถ้าเรามีแนวคิดในเชิงลบ เราจะมองเห็นทั้งเรื่องไม่ออก คือผมเชื่อว่าทุกปัญหามีทางแก้ จะแก้แบบไหนก็ต้องว่ากัน แต่เราก็ต้องเปิดรับกับความเปลี่ยนแปลง เปิดรับความคิดเห็นใหม่ๆ แล้วก็พัฒนาทักษะในการคิดบวก พยายามพัฒนาทำงานแบบมืออาชีพ คือเราต้องแยกให้ออกระหว่างการทำงานแบบอาชีพกับการทำงานแบบส่วนตัว แล้วเรามีความเป็นมืออาชีพ เราจะมีระเบียบวินัย แล้วผมเชื่อว่าไม่ว่าจะทำงานที่ไหน ตำแหน่งบริหารเปรียบเสมือนหัวโขน มีอำนาจหน้าที่ก็ต้องใช้ให้เหมาะสม แล้วเมื่อมาเป็นอาจารย์ธรรมดาก็ต้องปรับการทำหน้าที่ให้เหมาะสมเช่นเดียวกัน ยึดมั่นในภารกิจกับเป้าหมายที่เราจะทำ ผมเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ตามก็สามารถประสบความสำเร็จได้”

 

  อปท.นิวส์ เชิญเป็นแขก 465

 

 

 

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 1 - 15 ธันวาคม 2568
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
02 ธ.ค. 2568
ต้องยอมรับว่า การปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยที่มั่นคง หัวใจสำคัญด้านหนึ่งต้อง มาจากฐานราก หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การปกครอง ส่วนท้องถิ่นต้องเข้มแข็ง ซึ่งประเทศไทยเราเอง ก็พัฒนาขึ้นมาเป็นลำดับโดยเฉพาะเมื่อรัฐธรรมนูญ 2540 เปิดศักราชใหม่ให้กับการกระจายอำนาจลงสู่...