ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ย้อนกลับ
พลตำรวจตรีหญิง ศิริกุล ศรีสง่า เส้นทางชีวิตจากพยาบาลสาว สู่หน้าที่โฆษกโรงพยาบาลตำรวจ
20 พ.ย. 2568

ความมุ่งมั่นในชีวิตที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ผนวกกับการทำงานอยากชาญฉลาด นับเป็น กุญแจดอกสำคัญที่จะมีผลส่งให้บุคคลที่ยึดมั่นใน สิ่งที่กล่าวถึงนี้ มีเส้นทางชีวิตที่จะก้าวเดินไปสู่ความ สำเร็จได้ไม่มากก็น้อย ดังตัวอย่างจากหลายๆ คน ที่เราเคยได้ยินได้ฟังมา และหนึ่งในบุคคลตัวอย่าง ที่ อปท.นิวส์ อยากให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักในฉบับนี้ ก็คือ "พลดำรวจตรีหญิง ศิริกุล ศรีสง่า" โฆษกหญิง แห่งโรงพยาบาลตำรวจ (พยาบาล สบ6) หนึ่งในโรง พยาบาลของรัฐ สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ปัจจุบันกล่าวได้ว่า มีชื่อเสียงเป็นโรงพยาบาลชั้นนำ แห่งหนึ่งของประเทศ

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน โรงพยาบาลตำรวจมี จำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยได้ 650 เตียง มีหน่วยงาน ในสังกัด ได้แก่ กองบังคับการอำนวยการ, วิทยาลัย พยาบาลตำรวจ, โรงพยาบาลดารารัศมี, โรงพยาบาล นวุติสมเด็จย่า, ศูนย์การแพทย์ปฐมภูมิและการแพทย์ ทางเลือกจอมทอง และที่สำคัญคือ สถาบันนิติเวช วิทยา จึงทำให้โรงพยาบาลตำรวจ ที่นอกเหนือจาก การรักษาผู้ป่วยและผู้บาตเจ็บทั่วไปแล้ว ยังมีหน้าที่ สำคัญที่เกี่ยวโยงกับการไขคดีความที่เกิดขึ้นด้วย ตั้งแต่อุบัติเหตุธรรมดาๆ ไปจนถึงการเสียชีวิตของ ประชาชน

นี่เองจึงทำให้โรงพยาบาลตำรวจเต็มไปด้วย ผู้คนเข้าออกติดต่อการงานอย่างมากมาย จึงไม่ใช่ เรื่องง่ายที่หาใครเข้ามาทำหน้าที่โฆษก สื่อสารให้กับ สาธารณชนได้อย่างมีเป้าหมายและผลงาน แต่ในวันนี้ ก็คือ "พลตำรวจตรีหญิง ศิริกุล ศรีสง่า" หรือ "ผู้การแจง" ที่เข้ามารับหน้าที่ได้อย่างเหมาะยิ่งนัก

แต่ก็มีใช่เรื่องง่ายของ "ผู้การแจง" เช่นกัน ที่จาก วันนั้นเป็นเพียง "พยาบาลสาว" ยศร้อยดำรวจตรี ของโรงพยาบาลตำรวจแห่งนี้ จะก้าวขึ้นมาประดับยศ พลตำรวจตรีหญิง และมีหน้าที่เป็นโฆษกของ โรงพยาบาลตำรวจในวันนี้

ผู้การแจง ในวัย 55 ปี เริ่มต้นเล่าชีวิตในวัยเด็ก ให้เราฟังว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอเลย แม้จะมีคุณพ่อ เป็นนายตำรวจใหญ่ (คนปทุมวัน กรุงเทพฯ) และ คุณแม่เป็นแม่บ้าน (คนอยุธยา) แต่เมื่อคุณพ่อ เป็นนายตำรวจ (นรต.รุ่น 7) ต้องโยกย้ายไปทำหน้าที่ ในจังหวัดต่างๆ หลายจังหวัด ทำให้มีพี่น้องที่มีทั้งหมด รวมกัน 10 คน เป็นพี่ชาย 2 คน (เสียชีวิตหมดแล้ว) และพี่ผู้หญิงอีก 8 คน รวมผู้การแจงด้วย (ผู้หญิงคนโด เสียแล้ว) ทำให้พี่น้องทั้งหมดจะไม่ได้เกิดในจังหวัด เดียวกัน โดยผู้การแจงเป็นลูกสาวคนสุดท้อง เกิดที่ อำเภอมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร ขณะที่คุณพ่อ ไปดำรงตำแหน่งสารวัตรที่มหาชัย และมาเสียชีวิต ด้วยโรคมะเร็งที่หลอดอาหาร ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ขณะ ตำรงตำแหน่งพันตำรวจโท(พันตำรวจโท สันติ ศรีสง่า) เป็นสารวัตรใหญ่ที่อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์

"พี่ๆ หลายคน น่าจะเกิดที่ภาคใต้ ตอนที่คุณพ่อ ย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ จนคุณพ่อย้ายมามหาชัย ก็มาเกิด แจง ที่นี่ จากนั้นก็ยังมีย้ายมาที่ปราณบุรี หัวหิน ก็มาเรียนที่หัวหินด้วย ย้ายมาศรีเชียงใหม่ หนองคาย พอย้ายจากหนองคายมามกดาหาร แจงก็มาเรียนที่ มุกดาหารอีก จนย้ายมาที่สตึกก็ต้องมาเรียนที่สตึก ประมาณมัธยม2แล้วคุณพ่อก็มาป่วยที่นี่ก็นี่ก็มารักษาตัว ที่โรงพยาบาลตำรวจที่กรุงเทพฯ นี่แหละ จนเสียชีวิต ในวัยเพียง 54-55 ปี"

"ความรู้สึกตอนนั้น เป็นความรู้สึกที่แบบเรา ไม่มีใคร เหมือนคุณแม่ก็ต้องตามมาดูแลคุณพ่อ ที่กรุงเทพฯ ก็ทิ้งให้เราอยู่กับแม่บ้าน ปิดเทอมก็ มาเยี่ยมคุณพ่อ ตอนนั้นก็คิดว่า คุณพ่อทำไมยังไม่ หายเสียที ทำไมรักษานานจัง ช่วงเวลานั้นก็ยังเรียน ที่เราอยู่ ม.2 อยู่กับแม่บ้าน ก็รู้สึกว่ามันโดดเดี่ยว มันเศร้ามาก เหมือนคุณหมอจะบอกว่าคุณพ่อคง จะอยู่ได้อีกไม่นาน คุณแม่ก็เลยโทรศัพท์มาบอกว่า ให้แจงเดินทางมาเยี่ยมมาดูใจ วันนั้นคุณพ่อยังไม่เสีย ให้ตั้งใจเรียน เพราะตอนแจงเรียนอยู่ต่างจังหวัด ค่อนช้างเรียนเก่งแล้วก็อยากให้เป็นตำรวจส่วนคุณแม่ ก็อยากให้เป็นพยาบาล"

สำหรับด้านการศึกษา ผู้การแจง ย้อนเล่า ให้เราฟังว่า ตอนประมาณสัก 3-4 ขวบ คุณพ่อ ย้ายมาที่ปราณบุรี หัวหิน เธอก็ได้มาเริ่มเรียนที่นี่ ที่โรงเรียนอนุบาลดรุณศึกษา แล้วก็เรียนที่หัวหิน จนถึงประถมศึกษา 4 ก็ต้องย้ายไปเรียน ประถม 4-5-6 ที่ศรีเชียงใหม่ คือตามคุณพ่อไป แล้วก็ไปเริ่ม เรียนชั้นมัธยมศึกษา 1 ที่มุกดาหาร ก็ตามคุณพ่อไปอีก เมื่อคุณพ่อย้ายไปสตึก ผู้การแจงก็ตามไปอีก คือมา เรียนชั้นมัธยม 2 จนจบมัธยม 3 ที่สตีก บุรีรัมย์

"หลังจากนั้น แจงก็มาสอบติด มัธยมศึกษา ปีที่ 4 ที่โรงเรียนหอวัง จริงๆ ตอนนั้นพี่น้องทุกคน ก็มาเรียนที่กรุงเทพฯ กับหมด เพราะมีญาติๆ อยู่ กรุงเทพฯ คุณแม่ปราณี ศรีสง่า ก็เรียนจบที่โรงเรียน ราชินี ก็มาเช่าบ้านอยู่ที่กรุงเทพฯ กัน บางทีก็ไป อยู่กับน้าชายที่มีบ้านอยู่ที่กรุงเทพฯ ช่วงนั้นพี่ๆ ก็ทำงานกันหมดแล้ว จะมีแจงกับพี่สาวก่อนแจง อีกคนหนึ่งที่กำลังเรียนอยู่ใส่ๆ กัน ซึ่งตอบนั้นก็ งง มาก ไม่รู้ตัวเองสอบติดหอวังมาได้ยังไงเหมือบกับ แต่ตอนเด็กก็สอบได้ที่ 1 มาตลอด ก็เรียนที่หอวัง อยู่ 3 ปี ม.4-5-6 และความตั้งใจตอนเรียนจบ อยากเป็นนักจิตวิทยา เพราะอยากศึกษาเรื่องความคิด ชองผู้คน อยากทำงานเกี่ยวกับสุขภาพจิต อยากช่วยคนอื่น"

ผู้การแจง เล่าต่อไปว่าชีวิตหลังคุณพ่อเสียไปต่างจาก เมื่อครั้งยังอยู่มาก ทุกอย่างเปลี่ยนไป เราได้เรียนรู้คน ตั้งแต่ช่วงที่คุณพ่อเสียแล้ว แจงอาจบอกได้เลยว่า มีประสบการณ์มากกว่าคนอื่นๆ ที่ได้เรียนรู้ สังคมชีวิต ของคนเราว่า ตอนที่พ่อเราอยู่มีอำนาจ แต่พอพ่อเรา เสียไปแล้ว เพื่อนๆ ที่จะเข้ามาช่วยเหลือเราน้อยมาก เราเห็นสัจธรรม เห็นความจริง ก็ต้องขอบคุณ เหตุการณ์นั้น ที่ทำให้ในช่วงที่แจงรับราชการอยู่ ก็ไม่ ได้ต่างอะไรกับสิ่งที่เราเคยรู้มาว่า ชีวิตคนเราตอยู่มี อำนาจก็เรื่องหนึ่ง แต่พอเราหมดอำนาจไป หรือว่าเรา ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรกับเขา ทุกคนก็ห่างหายไป ซึ่งจะมองว่าเป็นเรื่องปกตินะ ยิ่งโดยเฉพาะสังสมัยนี้ ทุกคนต้องการความอยู่รอด แต่สำหรับแจงแล้วไม่ใช่ อย่างไรก็ตาม หลังจบจากหอวังแล้ว ก็เข้าสอบ เอนหรานซ์ (Entrance) ก็ติดคณะวิทยาศาสตร์ มศว.ประสานมิตรคอมพิวเตอร์ ติดวิทยาลัยพยาบาล ตำรวจ แล้วก็ติดอีกหลายที่ แต่ก็มาเลือกวิทยาลัย พยาบาลตำรวจ ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะได้มาเห็น คุณพ่อนอนป่วยที่นี่ ก็เรียนพยาบาลอยู่ 4 ปี ก็ต้อง มาอยู่หอที่โรงพยาบาล ก็มีระเบียบมาก เห็นชื่อ เช็กชื่อระเบียบมาก คือตำรวจเขาสอนให้เรา นอกจากความเป็นพยาบาลแล้ว ยังต้องมีวินัย จบมาติด นายร้อยตำรวจตรี จริงๆ ตอนเรียนปี 1 ก็ถูกเรียก พลสำรองหญิง ถือว่าเป็นข้าราชการแล้ว มีข้าวทาน ทานฟรีเช้า กลางวัน เย็นแล้วก็เหมือนได้เงินเดือนๆ ละ 480 บาท

ต่อข้อถามว่า ในช่วงที่เข้าเป็นพยาบาลมาตลอด 30 เกือบ 40 ปี มีเผชิญเหตุการณ์สำคัญๆ อะไร เกิดขึ้นบ้างผู้การแจง เล่าว่า "เชื่อว่าเป็นคนเดียวที่ทำงาน หลายที่มาก แจงจบห้องคลอด ก็ไปอยู่ห้องคลอดได้ ประมาณเกือบ 3 ปี เวลาทำคลอด คนไข้จะเจ็บปวด มาก แจงก็รู้จักอาจารย์ท่านหนึ่ง พลตำรวจโทหญิง สุวัฒนา โภคสวัสดิ์ เป็นทั้งครู อาจารย์ เป็นทั้งแม่ เป็นทั้งพี่ ท่านสอนแจงในเรื่องของการดมยา คือ วันหนึ่งเจอท่านครั้งแรก ก็คือท่านมาฉีดยาที่ไขสันหลัง ฉีดยาระงับปวดให้สำหรับคนที่คลอดแล้วปวดมากๆ เขาจะใต้คลอดแบบไม่ปวด แล้วถึงคลอดปกติ ได้ เจอท่านทำให้มีแรงบันดาลใจ ฉุดเราให้อยากไปเป็น พยาบาลวิสัญญี ซึ่งตอนนั้นยากมากนะที่จะย้ายจาก พยาบาลธรรมดาไปเป็นพยาบาลวิสัญญี เพราะต้อง ไปเรียนต่อวิสัญญี อีก 1 ปี

"ท่านเป็นผู้หญิงที่ใจดี งคงาม มีแต่ให้ ตอนนั้น ท่านเป็นหัวหน้าวิสัญญีที่โรงพยบาลตำรวจ เป็นแรง บันดาลใจให้แจงไปเรียนวิสัญญี ซึ่งก็ได้เรียนในเวลา ต่อมาที่ศิริราช ก็เรียนอยู่ 1 ปี แล้วก็กลับมาอยู่แผนก วิสัญญีที่โรงพยาบาลตำรวจ ช่วงนั้น วิสัญญีแพทย์ น้อยมาก มีการไปฝึกงานที่ต่างจังหวัดด้วย"

ต่อข้อถามว่า จากพยาบาลวิสัญญีแล้วเป็นมา อย่างไรถึงได้มานั่งเป็นโฆษกโรงพยาบาลฯผู้การแจงยิ้ม พร้อมกับบอกเราว่า เมื่อมองย้อนไปก็ให้รู้สึกชำ เหมือนกัน ตอนนั้นก็น่าจะได้ขึ้นชั้นเป็นร้อยตำรวจเอก แล้ว หลังจากเป็นวิสัญญีอยู่พักหนึ่งแล้ว จำใด้ว่าช่วงนั้น โรงพยาบาลตำรวจยังไม่มีระบบบอย่างคนไข้เวลา มานอนโรงพยาบาล คือยังคงต้องเดินไปถามที่ตึก ห้องนี้ว่างไหม ห้องนี้ว่างไหม หรือถ้ารู้จักใครในโรง พยาบาลก็ฝากว่าให้ช่วยจองหน่อย อะไรอย่างนี้ ทางผู้บริหารสมัยนั้นก็เลยอยากจะทำเขาเรียกว่า Admission Center เป็นศูนย์กลางที่แบบเวลาคนใช้ มานอนที่โรงพยาบาลตำรวจให้มาจองเตียงที่จุดนี้ เป็นการริเริ่ม Admission Center หน่วยรับผู้ป่วยใน เพื่อที่จะเป็นที่สำหรับจองเตียงสำหรับคนไข้ที่คุณหมอ ให้นอนในโรงพยาบาล

"พอเริ่มมีตรงนี้มาก็มีรุ่นพี่ที่เป็นวิสัญญีด้วยกัน เขาก็มาริเริ่ม เขาเห็นว่าเราหน่วยก้านดี ชอบดูแล คนไข้ มีมนุษยสัมพันธ์ดี แล้วก็สำคัญพอคือประสาน ทุกอย่างทั้งในโรงพยาบาล ประสานข้างนอกด้วย แจงก็เลยมาเป็นมาทำงานที่นี่ต่อจากวิสัญญี"

ผู้การแจะบอกด้วยว่าเมื่อก่อนคนภายนอกอาจมอง โรงพยาบาลตำรวจในแง่ลบหน่อย เพราะมีเคส อุบัติเหตุอะไรมากน้อยแค่ไหนก็จะมาตามกันที่ โรงพยาบาลตำรวจ วุ่ยวายมาก ตอนนี้นี้นี้ไม่ใช่เลย คือ โรงหยาบาลตำรวจได้เริ่มมีความเชี่ยววชาญทุกด้านเลย ที่เพิ่งผ่านมาก็มีการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ไปแล้ว ประมาณ 200 กว่าเคส ตอนนั้นก็มีเตียงอยู่ประมาณ 500 เตียง แต่ปัจจุบันเรามีแล้ว 680 เตียง

Admission ก็ทำอยู่เกือบ 3 ปี แล้วก็มีการ เปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่งในชีวิตก็คือ ท่านนายแพทย์ ใหญ่ พลตำรวจโท ภาสกร รักษ์กุล สมัยนั้นอยาก ให้เราไปอยู่สำนักงานแพทย์ใหญ่ เพื่อที่จะไปดูแล คนไข้สำคัญหรือที่เรียกว่า VIP ท่านก็ขอตัวให้ย้าย ไปอยู่สำนักงานแพทย์ใหญ่ แต่เมื่อไปอยู่ได้สักพัก ก็คิดว่ามันไม่ใช่ตัวตนของเรา ก็ขอท่านย้ายกลับไป อยู่หน่วยผู้ป่วยในตามเดิม ส่วนยศตอนนั้นก็ขึ้นมา เป็นพันตำรวจตรีแล้ว ก็มาทำต่อได้อีกปีกว่า ก็เปลี่ยน นายแพทย์ใหญ่คนใหม่ก็ถูกเรียกกลับไปอีก คราวนี้ น่าจะ 2 ปี เพราะกลับขึ้นไปใหม่นี้ไม่ได้ดูแลคนๆ เดียว แต่ดูแลทั้งหมด เป็นคนแต่งห้อง VIP ห้องรับรองเอง เลย ก็ถือเป็นคนบุกเบิกเองเลย

"อยากจะพูดว่า เป็นยังไงเมื่อได้เห็นความ เติบโตมาจนถึงวันนี้ ก็ยิ่งใหญ่ เวลาที่เราได้ทำอะไร อาจจะไม่มีใครรู้ แต่เราเห็นสิ่งที่มันดูพัฒนาขึ้น ในโรงพยาบาลตำรวจ เราเป็นส่วนหนึ่งในการ พัฒนา แค่นั้นเราก็ดีใจแล้ว มันไม่จำเป็นต้องไป ป้าวประกาศให้ใครเขารู้หรอกว่า เราเป็นคนเริ่ม แจงมองว่า ถ้าเรามีโอกาส แล้วเราได้เติบโด แล้ว เราได้เลื่อนตำแหน่ง เราว่าเราใช้โอกาสนั้นมา พัฒนาองค์กรดีกว่า ไม่ใช่เอามาเป็นผลประโยชน์ กับตัวเอง"

หลังจากนั้นเปลี่ยนนายแพทย์ใหญ่ ก็ยังอยู่ต่อมา อีก แต่คราวนี้ไม่ได้ดูเฉพาะคนไข้ VIP แต่เหมือนกับ ขึ้นมาทำหน้าที่ฝ่ายบริหารแล้ว ทำหน้าที่เหมือนมือ เหมือนเลขาฯ เช่น มีเรื่องที่เร่งด่วนโดยเฉพาะในเรื่อง ของภาพลักษณ์ และช่วงนั้นก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นโฆษก โรงพยาบาลตำรวจด้วย ตอนนั้นก็เลื่อนยศเป็นพัน ตำรวจเอกแล้ว ก็ถือเป็นโฆษกในครั้งแรก เพราะเมื่อ เปลี่ยนนายแพทย์ใหญ่ก็มีการเปลี่ยนแปลงทีมงานอีก

"ช่วงนั้นจำได้ว่ามีม็อบเสื้อแดงมาปักหลัก ค้างคืนที่หน้าโรงพยาบาลตำรวจ เราก็เข้าไปช่วยดูแล เพราะเราเป็นแพทย์ เราไม่เลือกปฏิบัติ เรามอง ผู้ชุมนุมเป็นเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้อง ถ้าไม่สบาย ก็เข้ามารักษา ตำรวจบาดเจ็บมาเราก็ดูแล ประชาชน บาดเจ็บมาเราก็ดูแล เพราะทุกคนคือพี่น้อง ทุกคน คือคนไทยใครป่วยมาก็คือสิ่งเดียว คือคนไทย ช่วงนั้น ก็เป็นโฆษกพอดี ก็ทำหน้าที่อยู่ 3 ปี"

อย่างไรก็ตาม ภายหลัง พล.ต.อ.นายแพท์จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. ผู้การแจงก็ได้ ขึ้นไปเป็นนายเวรให้กับท่านจงเจตน์ และก็มาช่วง พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ไปเป็นรอง คสช. ไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ ก็ขอตัว ผู้การแจง ไปช่วยราชการ ไปเป็นคณะทำงานด้านประชาสัมพันธ์ ก็เลยไม่ไม่ได้ ทำงานที่โรงพยาบาล แต่ตำแหน่งที่โรงพยบาลก็ยัง เป็นพยาบาล สบ4 มีตำแหน่งเป็นผู้กำกับ ถือเป็น จุดเปลี่ยนชีวิตอีกครั้งหนึ่ง

"พื้นฐานเราเป็นพยาบาล แต่เมื่อมาทำงาน ที่กระทรวงฯ ที่เกี่ยวกับชีวิตคนตั้งแต่เด็กแรกเกิด จนถึงวัยชรา แจงได้ประสบการณ์จากการทำงาน กับท่านอดุลย์ ที่พูดได้เลยว่า มันประเมินคุณค่า ไม่ได้ ประเมินมูลค่าเป็นจำนวนเงินไม่ได้ มูลค่า มันยิ่งใหญ่มากเลยกับประสบการณ์ที่ท่านอดุลย์ ได้สอน แล้วท่านอดุลย์เป็นแบบอย่างที่ดีมากๆ ให้แจงทำงาน หนึ่ง ก็คือท่านจะสอนบทความ ซื่อสัตย์ ความกตัญญู แล้วก็ต้องมีพวก ต้องมีเพื่อน ประสบการณ์ที่ท่านให้แจงคุ้มค่ามาก แล้วพอมา ทำงานเกี่ยวกับสังคม ก็เลยเข้ามาดูแลในเรื่องของ เด็ก เยาวชน สตรี ที่ถูกกระทำความรุนแรง ได้เริ่ม พบปะผู้คนไปตามจังหวัดต่างๆ ได้เข้าไปเป็นทีมที่งานบ้านริมคลอง แฟลตดินแดง ที่เกิดขึ้นสมัยท่าน อดุลย์ แจงก็ไปทำ PR ให้ท่านประสบการณ์ช่วงนั้น ทำให้เราได้สื่อมวลชน มีภาพใหญ่ของประเทศ ที่กว้างขึ้นของเด็ก ผู้ใหญ่ คนพิการ หรือคนวัยชรา แล้วก็ปัญหาสังคมต่างๆ"

ผู้การแจง กลับมาโรงพยาบาลตำรวจอีกครั้ง และ ในสมัย พล.ต.ท.วิฑูรย์ นิติวรางกูร ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ใหญ่ ผู้การแจงก็เข้ามาทำงานเป็นหัวหน้า ประชาสัมพันธ์ให้กับโรงพยาบาล ก็ได้เลื่อนเป็น พยาบาล สบ5 แต่ว่าพอท่านวิฑูรย์เกษียณ ชีวิต ของผู้การแจงก็พลิกผันอีกครั้งหนึ่ง โดยได้เข้าไป เป็นรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในยุคของ พลตำรวจเอก สุวัฒน์ ผบ.ตร.คนที่ 12 โดยผู้การ แจง กล่าวว่า "ไม่คิดเลยว่า เราเป็นพยาบาล แล้วอยู่ๆ ก็มาเป็นรองโฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มันกว้าง มาก มันทั่วประเทศนะ แล้วเราเป็นแค่พยาบาล แต่ 1 ปี ที่ได้เป็นรองโฆษก สำนักงานฯ ประสบการณ์ที่ได้ ก็คือ แรงกดดันมาก เพราะเราเป็นตำรวจสายการ แพทย์ มีเรื่องราวของตำรวจทั่วประเทศมากกว่านี้ มันต้องมี Connection เยอะมาก เราก็เลยต้องถอย ออกมา

อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมา ทางกระทรวงพัฒนา สังคมฯ และกระทรวงศึกษาธิการ ก็ขอตัวเขาไปเป็น คณะทำงาน ปลัด พม. ก็ขอตัวไปเป็นที่ปรึกษา ก็ได้ มีโอกาสกลับมาทำเพจ "Because Depress We Care" ที่เกี่ยวกับศูนย์ช่วยเหลือเด็ก สตรี ผู้ถูกกระทำ ความรุนแรง และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งผู้การแจง เป็นคนทำขึ้นมาเองในสมัยพลตำรวจวิฑูรย์เป็น นายแพทย์ใหญ่ ตั้งเพจที่ช่วยดูแลข้าราชการตำรวจ และครอบครัวที่มีปัญหาสุขภาพจิตให้เข้ามาปรึกษา มีโทรสายด่วน โดยทุกอย่างเป็นความลับ นั่นก็เป็น วิถีชีวิตที่จนถึงทุกวันนี้จะยังเป็นแอดมินเพจนี้อยู่ ซึ่งก็มีจำนวนที่ขอคำปรึกษาเข้ามาเยอะ แต่เราเก็บ เป็นสถิติ อย่างศูนย์พึ่งได้ ที่ดูแลเรื่องความรุนแรง ปีหนึ่งประมาณเกือบ 700 เค้ส และอายุน้อยที่สุด ก็ 7-11 ปี

ต่อข้อถามว่า เมื่อได้กลับมารับตำแหน่งโฆษก โรงพยาบาลตำรวจอีกครั้ง มีแผนยังไงบ้าง ผู้การแจง บอกว่า ถ้านับถอยหลัง อีก 4 ปี ก็เกษียณแล้ว สิ่งที่ อยากทำคือสร้างคนมากๆ เลย ตอนนี้ คือที่บอก มี อยู่ช่วงหนึ่งที่ได้เป็นหัวหน้าประชาสัมพันธ์ แล้วนาย ก็เกษียณไป แจงเองก็ถูกปลดทุกตำแหน่ง โครงการที่ แจงทำอะไรไว้ ก็ไม่ได้นำมาทำต่อ สิ่งที่ตัวเององอยากทำ ก็ส่งยาทางไปรษณีย์ อันที่ 2 ตอนนี้ที่คิดว่าทำได้แล้ว ก็คืองานที่เกี่ยวกับภาพลักษณ์ขององค์กรว่า อยาก ให้มีหน่วยงานที่เขารับผิดชอบได้ทำงานในหน้าที่ ของเขาที่เขาต้องทำ ไม่ใช่ว่าแบบเปลี่ยนผู้บริหารแล้ว ตั้ง 001 เป็นศูนย์ประชาสัมพันธ์ ที่ทำงานก็ใช้คนใน โรงพยาบาลนั่นแหละ ทำแล้วพอเปลี่ยนผู้บริหาร ก็ยุบศูนย์ของเรา มันทำให้คนที่ทำงานน่ะหมดกำลังใจ อันนี้สำคัญมาก จึงอยากให้พูดจริงๆ เพราะว่าต่อให้ เปลี่ยนผู้บริหาร เขาจะยุบเขาจะอะไร มันควรเป็น หน่วยงานที่ถาวรมั่นคง แล้วก็ยั่งยืน

90

"แจงมีเวลา 1 ปีในการสอนน้องทีมยุทธศาสตร์ กับทีมโฆษกว่า ให้มีเซ็นเตอร์ ทุกวันนี้ แจง ดีใจมากทำสำเร็จแล้ว ไม่ว่าจะเปลี่ยนผู้บริหาร ยังไง น้องๆ ยังคงอยู่ ไม่ต้องระหกระเหิน ก็ เลยคิดว่ายุทธศาสตร์ที่ทำหน้าที่ในการดูแลงาน ประชาสัมพันธ์ คุณควรจะมีตัวตนที่แท้จริง รับผิดชอบ งานประชาสัมพันธ์ไป โดยไม่ต้องมาเปลี่ยนทุกครั้ง ที่แพทย์ใหญ่มาใหม่ ไม่ยุติธรรมสำหรับคนทำงาน ทำให้ทำงานลำบาก ไม่เต็มที่ คือถ้าผู้บริหาร คนใหม่มาไม่สนับสนุนก็ยุบทิ้ง ทำให้ทุกคนขาด กำลังใจ ตอนนี้เรียกว่าประสบความสำเร็จแล้วค่ะ เพราะปัจจุบันเรื่องประชาสัมพันธ์มีความ สำคัญมากสำหรับภาพลักษณ์ขององค์กร ก็ ภูมิใจมากที่ตั้งทีมงานประชาสัมพันธ์ให้กับ โรงพยาบาลได้ ซึ่งตอนนี้เราก็มีครบ คนเขียนข่าว ภาพนิ่ง วิดีโอ ตัดต่อ อินโฟกราฟิก ฯลฯ ไม่มีเรา น้องเขาก็ต้องทำได้"

"แจงสอนน้องๆ ว่า น้องๆ ต้องมีความสามารถ เป็นคนที่ทำงานให้องค์กร ต่อให้เปลี่ยนผู้บริหารไป กี่คน เขาก็ต้องใช้น้อง เพราะฉะนั้นน้องต้องมีผลงาน และที่สำคัญต้องเป็นคนดี ต้องคิดดี แล้วก็คิดทำอะไร ให้องค์กรพัฒนา อย่าไปคิดสร้างความแตกแยกให้กับหน่วยงาน ตอนนี้แจงก็เขียนข่าวเอง ส่งข่าวเอง แล้วก็ Facebook จากคนติดตามน้อยๆ ตอนนี้ก็ประมาณ 70,000 กว่าคน ก็ไม่ได้ใช้เงินอะไร ใช้หัวใจล้วนๆ สอน น้องๆ ให้เขารู้ระบบการทำงานเป็นยังไงการเขียนช่าว เป็นยังไง การที่เราจะไปประชาสัมพันธ์เราจะต้องทำ ยังไง เรามีสัมพันธภาพที่ดีกับสื่อมวลชน แลกเปลี่ยน ความคิดเห็น แล้วก็มีการจัดฝึกอบรมให้เขารู้จักการ เขียนข่าว ให้เขารู้จักคีย์ Message หรือตอนนี้ก็เริ่ม ให้ใช้ในเรื่องของ AI ด้วย"

ต่อข้อถามถึงโครงการ "ตำรวจริบบิ้นขาว" คือ อะไร ผู้การแจง บอกว่า ก็คือ การดูแลเด็ก เยาวชน ที่ ถูกกระทำความรุนแรงงทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม แล้ว ก็เพิ่มมาคือเป็นพี่เลี้ยงทางด้านคดี เพราะเคสที่เข้ามา ในโรงพยาบาลตำรวจส่วนมากก็เป็นคดี อย่างเช่น คน ทำร้ายร่างกายกัน ก็มาตรวจร่างกายกันที่ห้องฉุกเฉิน แล้วก็มาที่ศูนย์พึ่งได้ เพื่อจะให้สหวิชาชีพตรวจ หลังจากที่เราทำเรื่องนี้มา เราก็มาดูแบบ comment ต่างๆ แล้วก็สิ่งที่ประชาชนสอบถามเข้ามา จะมี คำถามว่า ไปตามคดีที่ สน. นานมากเลยเป็นเดือน ทำไมคดีไม่คืบหน้าสักทีอะไรอย่างนี้ ตำรวจที่ สน. เขาบอกคือยังไม่เสร็จ เราก็เลยมาวิเคราะห์ว่า ก็ โรงพยาบาลตำรวจเป็นคนเก็บพยานหลักฐานทุกอย่าง

"สมมติ 1 เคสที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศแล้วกัน นะคะ แล้วมาที่ห้องฉุกเฉิน ห้องฉุกเฉินเขาจะตรวจ เก็บวัตถุพยานหลักฐานต่างๆ ตรวจทุกอย่างแล้วก็ เก็บเอาไว้ แล้วก็ส่งมาที่ศูนย์พึ่งได้เพื่อให้สถาบันนิติเวช ของโรงพยาบาลตำรวจตรวจสอบ ทีนี้ในกระบวนการ มันจะต้องตรวจ บางทีมันใช้เวลา อย่างเช่น ตรวจ DNA ก็ต้องใช้เวลา แล้วก็เอาหลายๆ อย่างมา สรุป แล้วให้แพทย์นิติเวชสรุป แล้วก็ส่งให้พนักงาน สอบสวน มันต้องใช้เวลา แต่ไม่มีใครอธิบายเขาแบบ นี้ไง แต่ไปสถานีตำรวจอาจจะยุ่ง ยังไม่เสร็จ ยังไม่ เรียบร้อย โดยไม่บอกเหตุผลเขา เราจะลดภาระของ พนักงานสอบสวนที่ สน. เขามีอะไรเขาสอบถามที่ เราได้ เราก็จะอธิบายให้เขาฟังว่า บางที่ในเรื่องของ คดีเราต้องรวบรวมพยานหลักฐานนะ ถ้าเราจะไป เอาคนผิดที่มากระทำกับเรา การที่เรารีบส่งไปวัน สองวันผ่าน มันไม่ครบ มันก็เป็นผลเสียสำหรับเรา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือคุณต้องดูแลร่างกายจิตใจ แล้ว คุณจะใช้ชีวิตอย่างไรในสังคมให้มีความสุข อันนี้เป็น สิ่งที่สำคัญ แล้วเราก็ช่วยในเรื่องคดีให้ด้วย"

โครงการตำรวจริบบิ้น คืออยู่ในกรุงเทพฯ คือ 88 สน. ในกรุงเทพฯ ทำกับตำรวจนครบาล ต่างจังหวัดเราไม่มี คือในกรุงเทพฯ เราจะประสาน 88 สน. ในกรุงเทพฯ ว่า มันมีคดีนี้นะคะยังไม่เสร็จ แต่ว่าแต่ตอนนี้มาอย่างนี้ แล้วเดี๋ยวเราคุยกับทางผู้เสียหายให้ ว่าเขาจะได้ไม่ต้อง ไปตำรวจ แล้ก็จะมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิตเราก็จะมี ปรึกษาให้ตลอด 24 ชั่วโมงในเพจอยู่แล้ว เมื่อไหร่ที่เขา รู้สึกว่าเขาแย่ รู้สึกเศร้าเค้าก็สามารถ inbox มาคุยกับ เราได้ ก็นี่คือเรื่องของตำรวจริบบิ้นชาว ที่สำคัญคือเรา จะเก็บเป็นความลับ อยากจะบอกว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้น นึกไม่ออกมาห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลตำรวจได้เลย ไม่ต้องกลัว คือคนมักจะคิดว่าเวลาถูกกระทำต้องอาบน้ำ สระผม นั่นนะวัตถุพยานหลักฐานมันหายไปกับ สายน้ำหมดเลยนะ ไม่ต้องอาบน้ำมาที่โรงพยาบาล ตำรวจก่อน มันมีความสำคัญมากนะ 72 ชั่วโมงนี่ เราอาจจะมียาป้องกันการตั้งครรภ์ยาต้านไวรัส การเก็บ พยานหลักฐาน คือมาก่อนเราแจ้งความทีหลังให้ได้

เราทิ้งท้ายด้วยคำถามที่ว่า ผู้การแจงมีปรัชญา ชีวิตมีอุดมคติในการดำเนินชีวิตจนมาถึงปัจจุบัน อย่างไรบ้าง ผู้การแจง ตอบอย่างอารมณ์ดีว่า จริงๆ นะคะมีหลายหลักมากเลย ต้องบอกว่าขอบคุณ คุณพ่อคุณแม่ที่สอนเรามา ผู้ใหญ่ที่เราจะต้อง ขอบคุณมากๆ ท่านอดุลย์ แสงสิงแก้ว แล้วก็อดีต นายแพทย์ใหญ่ที่เป็นเจ้านายเรา แล้วก็รวมทั้งปัจจุบัน ด้วย สิ่งที่แจงคิดว่าในชีวิตที่มาถึงจุดนี้ สิ่งหนึ่งที่ตัวเอง คิดนะคะ ผลงาน ทำผลงาน แล้วก็ทำหน้าที่ของเรา ให้ดีที่สุด แล้วที่สำคัญคืออย่ามองผลประโยชน์สำหรับ ตัวเอง ให้มองผลประโยชน์ให้กับคนไข้ให้กับสังคม เมื่อไหร่ที่เราคิดแต่ว่าเราทำอะไรแล้วตัวเราจะได้ อะไร มันทำให้เราอาจจะเบี่ยงเบนในเรื่องของความ ฝันของเราที่เราอยากจะเป็นคนหนึ่งที่ทำงานเพื่อ สังคม มันจะเปลี่ยนไป มันจะมีอะไรหลายๆ อย่าง ที่อาจจะทำให้เรารู้สึกว่า เราคไขว้เขว้ แล้วอาจจะ ก้าวไปสู่ในสิ่งที่มันมืด

"จริงๆ แล้วงานของเรามันสว่าง ถ้ามันมีอะไร มาแบบเป็นตัวล่อให้เราเบี่ยงเบนจากที่เราจะทำ เพื่อสังคม มาเปลี่ยนเป็นทำให้ตัวเอง มันจะมา ในแนวที่แบบเราทำงานให้กับสังคมไม่ได้ ถ้าเรานึกถึง แต่ตัวเอง เพราะฉะนั้น สิ่งที่แจงยืดมั่นก็คือ ผลงาน ที่ทำ คือทำให้กับประชาชน ทำให้กับสังคม ไม่ใช่ ทำให้กับตัวเอง แล้วก็ความดีกับผลงาน มันจะเป็น ตัวป้องกันเราไม่ให้ใครมาทำร้ายเราได้" ผู้การแจง กล่าวในที่สุด

อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก 464

 

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 พฤศจิกายน 2568
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
20 พ.ย. 2568
ความมุ่งมั่นในชีวิตที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ผนวกกับการทำงานอยากชาญฉลาด นับเป็น กุญแจดอกสำคัญที่จะมีผลส่งให้บุคคลที่ยึดมั่นใน สิ่งที่กล่าวถึงนี้ มีเส้นทางชีวิตที่จะก้าวเดินไปสู่ความ สำเร็จได้ไม่มากก็น้อย ดังตัวอย่างจากหลายๆ คน ที่เราเคยได้ยินได้ฟังมา และหนึ่งในบุ...