วันที่ 31 ส.ค. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า วันนี้ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบรัฐมนตรีที่เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 30 สิงหาคม 2568 ว่าเข้าข่ายมีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) หรือไม่ และขอให้รีบดำเนินการมีมติส่งเรื่องให้ศาลฎีกาและ/หรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาพิพากษาต่อไปตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 235
นายเรืองไกร กล่าวว่า เหตุแห่งคำร้องมาจาก เมื่อ 30 ส.ค. 68 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย รักษาการนายกฯ ให้สัมภาษณ์ไว้ตอนหนึ่งว่า “เมื่อถามว่าวันนี้จะหารือเรื่องอำนาจการยุบสภาฯหรือไม่ นายภูมิธรรม ตอบว่า ไม่ต้องหารือถ้าเราจะยุบเราก็ยุบเลย หากใครขัดข้องก็สามารถไปฟ้องได้ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องมาถกเถียงในเรื่องที่เราเชื่อว่าไม่มีปัญหา”
นายเรืองไกร กล่าวว่า คำสัมภาษณ์ของนายภูมิธรรม เวชยชัย จึงอาจขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และเข้าข่ายอาจฝ่าฝืนมาตรา 234 (1) จึงต้องร้อง ป.ป.ช. เป็นข้อ ๆ ดังนี้
ข้อ 1. เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 เว็บไซต์ศาลรัฐธรรมนูญได้แถลงข่าวที่ 32/2568 ในเรื่อง (1) ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ (เรื่องพิจารณาที่ 18/2568) โดยผลการพิจารณาสรุปได้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาหารือร่วมกันแล้ว มีมติโดยเสียงข้างมาก (6 ต่อ 3) วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) และเห็นว่า ผู้ถูกร้องขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 ประกอบมาตรา 82 วรรคสอง คือ วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (5) แล้ว รัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 167 วรรคหนึ่ง (1) โดยให้นำมาตรา 168 วรรคหนึ่ง (1) มาใช้บังคับกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต่อไป
ข้อ 2. รัฐธรรมนูญ มาตรา 168 วรรคหนึ่ง (1) บัญญัติว่า
“มาตรา ๑๖๘ ใหคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปภายใต้เงื่อนไข ดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๑๖๗ (๑) (๒) หรือ (๓) ให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ เว้นแต่ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ตามมาตรา ๑๖๗ (๑) เพราะเหตุขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๙๘ หรือมาตรา ๑๖๐ (๔) หรือ (๕) นายกรัฐมนตรีจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้”
ข้อ 3. รัฐธรรมนูญ มาตรา 211 บัญญัติว่า
“มาตรา ๒๑๑ องค์คณะของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในการนั่งพิจารณาและในการทำคำวินิจฉัย ต้องประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่น้อยกว่าเจ็ดคน
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ถือเสียงข้างมาก เว้นแต่รัฐธรรมนูญจะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องใดไว้พิจารณาแล้ว ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้ใดจะปฏิเสธไม่วินิจฉัย โดยอ้างว่าเรื่องนั้นไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญมิได้
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ”
ข้อ 4. เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (5) แล้ว รัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 167 วรรคหนึ่ง (1) โดยให้นำมาตรา 168 วรรคหนึ่ง (1) มาใช้บังคับกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต่อไป ดังนั้น คำวินิจฉัยดังกล่าวจึงเป็นเด็ดขาดผูกพันให้คณะรัฐมนตรีต้องนำมาตรา 168 วรรคหนึ่ง (1) มาใช้บังคับกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต่อไป กล่าวคือ ต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ เท่านั้น
ข้อ 5. ต่อมาเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2568 เว็บไซต์รัฐบาลไทยได้แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ รายละเอียดปรากฏตามสำเนาเอกสารที่แนบ
ข้อ 6. ต่อมาเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2568 มีข้อเท็จจริงในเว็บไซต์ไทยรัฐ หัวข้อ “ภูมิธรรม” ยันมีอำนาจยุบสภา เย้ยภูมิใจไทย ฝันกลางวัน รวมได้ 280 เสียง ลงข่าวไว้ส่วนหนึ่งดังนี้
วันที่ 30 ส.ค. 2568 เมื่อเวลา 09.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย รักษาการนายกฯ ให้สัมภาษณ์ไว้ตอนหนึ่งว่า “เมื่อถามว่าวันนี้จะหารือเรื่องอำนาจการยุบสภาฯหรือไม่ นายภูมิธรรม ตอบว่า ไม่ต้องหารือถ้าเราจะยุบเราก็ยุบเลย หากใครขัดข้องก็สามารถไปฟ้องได้ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องมาถกเถียงในเรื่องที่เราเชื่อว่าไม่มีปัญหา” รายละเอียดปรากฏตามสำเนาข่าวที่แนบ
ข้อ 7. ดังนั้นในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2568 จึงอาจมีการพิจารราเพื่อจะหาเหตุจากพระราชบัญญัติระเบียบบริหาราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 10 วรรคสี่ มากล่าวอ้างขยายความว่ารองนายกรัฐมนตรีที่รักษาการแทนนายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการยุบสภาได้ เพื่อที่จะไม่ต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ หาได้ไม่
ข้อ 8. ทั้งนี้ เนื่องจากพระราชบัญญัติระเบียบบริหาราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 10 วรรคห้า บัญญัติไว้ชัดแล้วว่า “ในระหว่างที่คณะรัฐมนตรีต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ให้คณะรัฐมนตรีดังกล่าวอํานวยความสะดวกให้หัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการใด ๆ เท่าที่จำเป็น เพื่อรับแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินจากนายกรัฐมนตรีคนใหม่มาเตรียมการดำเนินการได้” ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 168 วรรคหนึ่ง (1) ดังที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยไว้เป็นเด็ดขาดและมีผลผูกพันคณะรัฐมนตรี
ข้อ 9. จากข้อความในข่าวเรื่องยุบสภา จึงน่าเชื่อว่ามีการหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2568 แล้วมีการออกมาแถลงข่าวกล่าวอ้างให้สาธารณชนเข้าใจว่า คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 168 (1) ซึ่งมีมติตั้งรองนายกรัฐมนตรีรักษาการแทนนายกรัฐมนตรีมีอำนาจยุบสภาได้ ซึ่งหากคณะรัฐมนตรีมีมติให้สามารถยุบสภาได้นั้น จึงอาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้นำรัฐธรรมนูญ มาตรา 168 วรรคหนึ่ง (1) มาใช้บังคับกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต่อไป
ข้อ 10. ดังนั้น การที่มีข่าวว่าคณะรัฐมนตรีได้ร่วมประชุมและเห็นว่าสามารถยุบสภาได้โดยการกล่าวอ้างขยายความจากพระราชบัญญัติระเบียบบริหาราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 10 วรรคสี่ แต่ไม่พิจารณาวรรคห้า นั้น จึงเข้าข่ายฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้นำมาตรา 168 วรรคหนึ่ง (1) มาใช้บังคับกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต่อไป จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ การกระทำดังกล่าวของคณะรัฐมนตรีจึงอาจเข้าข่ายมีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1)