ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กำชับหน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศเร่งดำเนินการตาม 5 มาตรการ เพื่อรับมือสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม พร้อมเดินหน้าประเมินดัชนีความปลอดภัยของโรงพยาบาลในสังกัดทุกแห่ง ให้จัดบริการได้ตลอดเวลาเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติ
      ส่วนการจัดตั้งศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก ในโรงพยาบาล ดำเนินการแล้ว 51 ศูนย์ฯ 23 มหาวิทยาลัยคู่ความร่วมมือ เตรียมจัดตั้งเพิ่มในโรงพยาบาลในสังกัดอีก 18 แห่งที่มีศักยภาพ
     วันนี้ (15 กรกฎาคม 2568) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ครั้งที่ 4/2568 โดยได้กำชับให้หน่วยงานในสังกัดทุกแห่งเร่งเตรียมความพร้อมรับเหตุอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม นี้ โดยมี 5 มาตรการ ได้แก่ 1) ทบทวนโครงสร้างระบบบัญชาการเหตุการณ์ให้เป็นปัจจุบัน       2) เตรียมความพร้อมทีมปฏิบัติการฉุกเฉินด้านต่างๆ 3) ประเมินความเสี่ยงของสถานพยาบาล 4) สำรองยา/เวชภัณฑ์ตามเกณฑ์ที่กำหนด และ 5) สำรวจข้อมูลกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้สามารถดูแลประชาชนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเมื่อเกิดสถานการณ์
    นอกจากนี้ ยังได้ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานที่สำคัญ อาทิ การประเมินดัชนีความปลอดภัยของโรงพยาบาลระดับสากล (Hospital Safety Index: HSI) ซึ่งจะดูทั้งความเสี่ยงภัย ความปลอดภัยด้านโครงสร้างและด้านไม่ใช่โครงสร้าง รวมถึงการบริหารจัดการภาวะฉุกเฉินและภัยพิบัติ เพื่อให้สามารถให้บริการได้ตลอดเวลา     ทั้งก่อนเกิดภัย ระหว่างเกิดภัย และหลังเกิดภัย โดยดำเนินการแล้ว 650 แห่ง จาก 903 แห่ง พบมีค่าดัชนี      ความปลอดภัยระดับ A สามารถดำเนินการและให้บริการได้ตามปกติในสถานการณ์ภัยพิบัติ 517 แห่ง ระดับ B สามารถให้บริการได้ในระดับหนึ่งในสถานการณ์ภัยพิบัติ 130 แห่ง และระดับ C มีความเสี่ยงสูงที่จะไม่สามารถให้บริการได้ในภาวะภัยพิบัติ 3 แห่ง ซึ่งจะเร่งประเมินให้ครบทุกแห่งและปรับปรุงให้ได้ตามเกณฑ์ต่อไป
     สำหรับความก้าวหน้าการจัดตั้งศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก ปัจจุบันมีการจัดตั้งศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกในโครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท 41 ศูนย์ฯ 16 มหาวิทยาลัยคู่ความร่วมมือ ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกนอกโครงการ อีก 10 ศูนย์ฯ 7 มหาวิทยาลัยคู่ความร่วมมือ และยังมีโรงพยาบาลสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขที่มีศักยภาพ อีก 18 แห่ง ซึ่งจะได้มีการประเมินความพร้อม จัดทำความร่วมมือกับสถาบันผลิตแพทย์ และจัดตั้งเป็นศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกต่อไป โดยในปีนี้ ยังมีเรื่องที่น่ายินดี คือ โครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท ของกระทรวงสาธารณสุข ได้รับรางวัล ASPIRE RECOGNITION OF EXCELLENCE IN INSPIRATIONAL APPROACHES TO HEALTH PROFESSION EDUCATION จากสมาคม AMEE (The International Association for Health Professions Education) ซึ่งเป็นสมาคมเกี่ยวกับแพทยศาสตรศึกษาของยุโรป โดยจะเข้ารับรางวัลในเดือนสิงหาคม 2568 นี้ ที่ประเทศสเปน