นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และภริยา นางหวาง ฮวน ได้เสร็จสิ้นภารกิจในประเทศไทยและเดินทางกลับประเทศจีน เมื่อคืนวันที่ 10 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ในโอกาศนี้ได้เขียนบทความ “จีนไทยพี่น้องกัน ร่วมกันมุ่งสู่อนาคต” เผยแพร่ในสื่อไทยหลายฉบับมี ใจความโดยสรุปว่า
“ ขอเรียนเพื่อนมิตรทุกท่านครับ เวลาช่างผ่านไปเร็วเหมือนติดปีกบิน ข้าพเจ้าได้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยมาเกือบสี่ปี วันนี้ถึงเวลาที่ต้องอำลากับทุกท่านแล้ว ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เดินทางเยี่ยมเยือนพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย ได้รู้จักและผูกมิตรกับเพื่อนจากหลากหลายวงการ ทั้งได้เข้าร่วมกิจกรรมนับไม่ถ้วนที่ล้วนได้ตอกย้ำคำกล่าวที่ว่า “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ...
ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเป็นสักขีพยานที่ได้เห็นความสัมพันธ์จีน-ไทยได้ยกระดับให้สูงอีกภายใต้การนำของผู้นำทั้งสองประเทศ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีพ.ศ. 2565 ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้เดินทางเยือนไทย ซึ่งนับเป็นการเยือนที่มีความสำคัญเชิงประวัติศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปฏิสันถารกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ฉันท์เพื่อนมิตร ระหว่างการเยื่อนคราวนั้น ผู้นำทั้งสองประเทศได้ประกาศว่า จีนและไทยที่จะร่วมกันสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน เพื่อนำไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น ข้าพเจ้ามีความรู้สึกอย่างยิ่งว่าประตูสู่ยุคใหม่ของความสัมพันธ์จีน-ไทยได้เปิดต่อหน้าเราแล้ว...
ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเป็นสักขีพยานที่ได้เห็นการพัฒนาอย่างรวดเร็วของความร่วมมือที่เอื้อประโยชน์ร่วมกันระหว่างจีน-ไทยได้สร้างประโยชน์สุขให้กับประชาชนของทั้งสองประเทศเป็นอย่างมาก จีนและไทยเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่สำคัญของกันและกัน หลายปีมานี้ จีนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย เป็นหนึ่งในแหล่งลงทุนต่างประเทศที่สำคัญที่สุดของไทย และเป็นแหล่งนักท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดของไทย...
การดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยนั้น นับเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดในอาชีพนักการทูตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีความชื่นใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อการกระชับความสัมพันธ์จีน-ไทย ปีนี้ตรงกับวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีน-ไทย และการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศกำลังยืนอยู่ในจุดเริ่มต้นใหม่ทางประวัติศาสตร์...
ทุกวันนี้ สถานการณ์ระหว่างประเทศมีความสลับซับซ้อนและแปรปรวนอย่างรวดเร็ว ความสัมพันธ์จีน-ไทยที่เคารพซึ่งกันและกัน ไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และมุ่งสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันนี้ ได้สอดคล้องกับผลประโยชน์ที่แท้จริงของทั้งสองประเทศและเป็นที่ปรารถนาของประชาชนของเราทั้งสองอีกด้วย ข้าพเจ้าจึงเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์จีน-ไทยจะมีอนาคตที่สดใสงดงามมากยิ่งขึ้น.
ทั้งนี้ ก่อน พณฯ หาน จื้อเฉียง จะเดินทางไปยังประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ส่งหนังสือถึง นายกำพล มหานุกูล นายกสมาคมสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ความว่า “ตลอดระยะเวลา 3 ปีและ 10 เดือนที่ผ่านมา ผมได้รับเกียรติให้เข้าร่วมและได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไทยและการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับจีน ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งมานานของคุณ สำหรับชาวจีนและงานของฉัน ผมหวังว่าคุณจะติดตามและขยายความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไทยต่อไป และสนับสนุนการทำงานของสถานเอกอัครราชทูตจีน โปรดยอมรับคำรับรองใหม่ของการพิจารณาสูงสุดของฉัน” ลงชื่อ ฮัน จื่อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย
ด้านนายกำพล มหานุกูล นายกสมาคมสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน กล่าวว่า ท่านหาน จื้อเฉียง เป็นบุคคลที่น่าเคารพ เป็นกันเองและทำหน้าที่ตัวแทนรัฐบาลจีนได้อย่างเหมาะสมยิ่ง ภายใต้การดำเนินงานของท่าน สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากสถานทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยมาโดยตลอด ทั้งการจัดกิจกรรม เสวนาด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว รวมทั้งการจัดอบรมในหลักสูตรผู้บริหารธุรกิจไทย-จีน และ หลักสูตรนักบริหารธุรกิจไทย-จีน (รุ่นเยาว์) ซึ่งมีบุคลากรจากหน่วยงานภาครัฐ นักการเมือง และนักธุรกิจไทย-จีน เข้าร่วมกิจกรรมคราวละจำนวนมาก
“ช่วงที่ผ่านมาท่านยังให้คำแนะนำ ส่งเสริม สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน กรณีจัดทำภาพยนตร์สั้นเรื่อง “สายใยรักสองแผ่นดิน” เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาศครบรอบ 50 ปีสายสัมพันธมิตรภาพไทย-จีน ซึ่งจะเปิดฉายรอบปฐมทัศน์ต่อสาธารณะชนในเร็ววันนี้
“ในนามสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ขออวยพรให้ท่านเอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง ประสบความสำเร็จในภารกิจต่อไป และขอยืนยันที่จะมุ่งมั่นสานต่อและส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-ไทย รวมถึงสนับสนุนการทำงานของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยต่อไปอย่างเต็มที่ ” นายกสมาคมสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน กล่าวในที่สุด.