ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ย้อนกลับ
ไพศาล พืชมงคล จากเด็กอำเภอระโนด สู่นักกฎหมายใหญ่ “ถึงเลาลาแล้วที่จะต้องปฏิรูปกฎหมายไทย”
02 มิ.ย. 2568

หากจะพูดหรือเอ่ยถึง “กูรู” หรือ “ผู้รู้” โดยเฉพาะด้านกฎหมาย ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางแล้ว ชื่อของ “ไพศาล พืชมงคล” ยิ่มจะถูกปฎิเสธได้อยากยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่บุคคลผู้นี้จะคร่ำหวอดในวงการกฎหมายมาอย่างยาวนานแล้ว ความตรงไปตรงมา ไม่บิด ไม่เบือน ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความคิดเห็นของบุคคลผู้นี้ ควรค่าแก่การรับฟังและสะท้อนภาพให้เกิดการแก้ไขในสิ่งที่ถูกต้องได้ต่อไป

            อปท.นิวส์ เชิญเป็นแขก ฉบับนี้ ได้รับเกียรติจาดคุณไพศาล ให้เข้าสัมภาษณ์และพูดคุยด้วยถึง “ชีวิตและการทำงาน” อย่างน่าสนใจยิ่ง จากวัยเด็กสู่วัยทำงาน และก้าวย่างสู่ความสำเร็จและประสบการณ์ต่างๆ จวบจนถึงปัจจุบัน และอะไรคือปัญหาที่เขาอยากฝากถึงคนรุ่นหลังและสังคมไทย

                คุณไพศาล ในวัย 77  ปี (เกิดเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2490) ให้สัมภาษณ์ที่สำนักงาน “ธรรมนิติ” โดยเริ่มบอกกับเราว่า เขาเป็นคนอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ในครอบครัวเชื้อสายจีนฮกเกี้ยน บิดาชื่อ อำไพ พืชมงคล มารดาชื่อ ประภา พืชมงคล ประกอบอาชีพ ค้าข้าวสาร ทำโรงสี และเรือเดินทะเล เป็นบุตรชายคนโตในจำนวนพี่น้อง 7 คน แต่ตัวเขาถูกส่งไปอยู่กับ “ก๋ง” ตั้งแต่วัยเด็ก เพราะบังเอิญซินแสไปทำนายว่า พ่อแม่เลี้ยงไม่ได้ดวงชะตาประหลาด “ก๋ง”เองก็ไม่มีลูกชาย ก็เรียนเลี้ยงดูเหมือนเป็นลูก ก็ให้ความรักดูแลอย่างดี สอนสั่งเรื่องดีๆ ไว้มากมาย ก็ถือได้ว่าเป็นเด็กที่ได้เรียนรู้จากผู้ใหญ่มาโดยคลอด พอโตขั้นมาอีกหน่อย ก็ถูกไปฝากให้อยู่วัด เรียนวิชายาแผนโบราณ เรียนอัครวิธีจากหลวงพ่อที่มีชื่อเสียงมากในระโนด

“คุณพ่อคุณแม่เป็นคนจีน ก็ไปคลุกอยู่ที่ศาลเจ้า (อันฮกเก็ง) เขาก็ทำกับข้าวกัน ผมก็ไปช่วยเขาล้างถ้วยล้างชาม ช่วยทำกับข้าว หนักๆ เข้ามีงานมีการเลี้ยงใหญ่ก็เขาก็ทำกับข้าวที่ศาลเจ้านั่นแหละ ก็เลยเรียนรู้วิธีทำอาหารจีนเข้ามาด้วย ที่ศาลเจ้ามีบุคคลสังคมมาพบปะกันกว้างขวาง ทำใหรู้จักคนเยอะ ผมเป็นคนชอบสังคม ชอบสัมผัสได้รู้จักคนแปลกๆ หลายวงการ ในศาลเจ้าก็มีคนทุกประเภท ที่วัดก็มีคนทุกประเภท ก็ได้เรียนรู้จากผู้คนเหล่านี้”

สำหรับด้านการศึกษา คุณไพศาล เล่าให้ฟังว่า คนที่บ้านเป็นคนไฝ่การศึกษา ใครมีลูกมีเต้าก็พยายามส่งลูกให้เรียน จะยากดีมีจนอย่างไรก็ต้องดิ้นรนให้ลูกเรียนดีๆ ซึ่งพอมีฐานะหน่อยก็จะส่งไปเรียนที่ตัวจังหวัดสงขลา ฐานะดีหน่อย สายตาไกลหน่อย ก็ส่งไปเรียนกรุงเทพฯ บ้าง ที่ปีนังบ้าง ขณะที่เรียนอยู่ มศ.2 ที่ระโนด คุณแม่ก็ให้เลือกจะไปเรียนต่อที่ไหนระหว่างปีนังหรือที่กรุงเทพฯ ซึ่งก็เลือกมาที่กรุงเทพฯ มาเรียนต่อในชั้น มศ.3  ที่โรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ แต่ก็มาศัยอยู่ที่วัดระฆัง ก็ถือว่ามีชีวิตอยู่กับวัดมาโดยตลอด คุณไพศาล กล่าว

ต่อมาก็มาสอบเข้าได้ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แผนกวิทยาศาสตร์ ต่อมาก็ไปสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยก็สิบติดทั้งที่คณะบัญชีที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ก็เลือกที่เรียนกฎหมายจึงได้มาเข้าเรียนที่ธรรมศาสตร์ และก็มาอาศัยเพื่ออยู่ที่แถวเทเวศน์ ปีหนึ่งก็กลับไปเยี่ยมบ้านที่ระโนดหนหนึ่งในช่วงปิดเทอมใหญ่ ก็ต้องนั่งรถไฟกลับ 1 วัน 1 คืน

เรายิงคำถามทันทีว่า ตอนนั้นนึกอย่างไรถึงเลือกที่จะเรียนด้านกฎหมาย คุณไพศาล เปิดผยว่า ตอนที่เรียนเตรียมอุดมฯ คุณพ่อถูกจับ ทะเลาะกับนายอำเภอ0จากสาเหตุไปขัดขวางการทุจริตเขา แล้วถูกยัดข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ ก็เลยเกิดแรงบันดาลใจ เมื่อพ่อเราเป็นพ่อค้าทำอาชีพสุจริตถูกรังแกอย่างนี้ เรียนกฎหมายดีกว่า และก็ยังสามารถช่วยเหลือพี่น้องได้ ก็เลยตัดสินใจเรียนกฎหมาย เพื่อจะได้ สู้กับเจ้าหน้าที่ พร้อมสามารถให้ความเป็นธรรมแก่ราษฎรได้

แล้วตอนเรียนนี่ตั้งใจที่ออกมาเป็นทนายหรือจะไปเป็นอัยการ ไปถึงเป็นผู้พิพากษาหรือไม่อย่างไร เรายิงคำถามอีกชุด คุณไพศาล บอกว่า ตอนที่เรียนก็ไม่ได้นึกอะไรมาก ตอนนั้นขอเพียงได้เรียนกฎหมายก็พอ จะเป็นทนาย อัยการ หรือจะก้าวไปสู่ผู้พิพากษาก็ได้ แต่ตอนนั้นก็เห็นญาติคนหนึ่งเขาก็มีอาชีพทนาย ก็เจริญรุ่งเรือง มีพรรคพวกมาก ก็เลยคิดว่าอยากจะเป็นทนายมากกว่า เพราะเป็นอิสระแก่ตัวเอง และสามารถช่วยเหลือประชาชนได้มาก

“ยังไม่ทันจบดี เงินก็ไม่พอใช้ ก็เลยไปสมัครทำงานที่บริษัทของคุณเกียรติ วัธนเวคิน บริษัท สากลสถาปัตย์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น โดยไปเป็นนักกฎหมายฝึกหัดอยู่ที่นั่น ขณะนั้นก็ถือเป็นบริษัทก่อสร้าง อันดับ 1 ของประเทศ รับเหมาทำงานก่อสร้างในภาคอีสาน รัฐบาลตอนนั้นกำลังปรับนโยบายพัฒนาภาคอีสานเพื่อต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์ ก็เลยสร้างถนนเป็นการใหญ่ บริษัทนี้มีการบริหารแบบเป็นสากล มีพวกฝรั่ง จีนไต้หวัน มีพวกฟิลิปปินส์มาทำงานกันเยอะ ผมก็เลยได้ไปทำงานกับพวกต่างชาติ แล้วก็ได้เรียนรู้ระบบการทำงานที่เป็นสากลที่เป็นมาตรฐานขึ้น”

คุณไพศาล บอกด้วยว่า ที่สากลสถาปัตย์นี่เอง ที่เขาได้เรียนรู้จากนักกฎหมายระดับแชมป์ ก็เลยไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ก็ได้ร่ำเรียนวิชากฎหมายกับท่านเหล่านี้ในทางปฏิบัติ พอจบปุ๊บก็สามารถว่าความได้เลย จากปกติทนายความจบใหม่จะต้องฝึกงานอย่างน้อย 2 ปี แต่เพราะตัวเขาในระหว่างเรียนมีฝึกหนักมาแล้ว ที่สำคัญเมื่อใจรักทางนี้มากแล้ว ความเอาใจใส่ ความตั้งมั่น การฝึกฝนอย่างหนัก ทำให้สามารถเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว

“คนที่สอนผมนี่ อดีตเขาเป็นผู้พิพากษา เป็นทนายมาด้วย แต่เขาไม่มีสำนักงานทนายความ จบมาก็รับมาว่าความ ไปก็ไปคนเดียวไม่มีพี่เลี้ยง ไปทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จบมาไม่ตอนนั้นผมก็ได้เนติบัญฑิตเป็นทนายชั้น 2 ว่าความได้ 5 จังหวัด รวมถึงในกรุงงเทพฯ และปริมณฑล ผมได้เนติบัณฑิต ในปีเดียวกับที่ได้รับพระราชทานปริญญานิติศาสตร์ ผมเป็นทนายความชั้น 2 อยู่ไม่ถึงปี ก็ได้เลื่อนมาเป็นทนายความชั้น 1

                ต่อข้อถามว่า มีความตั้งใจมากน้อยแค่ไหนที่จะว่าความในคดีแพ่งกับอาญา คุณไพศาล บอกว่าคดีแรกที่ว่าความก็เป็นคดีแพ่ง และพอได้ว่าความมา ก็รู้สึกชอบทางคดีแพ่งมากกว่า เพราะคดีแพ่งจะมีเทคนิค รายละเอียดมากกว่า ลึกซึ้งกว่า ขณะที่คดีอาญาเป็นเรื่องทำผิดหรือไม่ทำผิด ก็เลยชอบทางแพ่ง เป็นทนายที่ถนัดทางแพ่ง

                คุณไพศาล บอกด้วยว่า ได้ทำงานอยู่ที่สากลสถาปัตย์อยู่ประมาณ 3-4 ปี ครูที่สอนวิชาทนายความบอกว่า ผมจบกฎหมายมาอยู่บริษัทนี่มันไม่เหมาะกับตัวเอง เพราะว่าเมื่อเราเติบโตขึ้นเงินเดือนก็จะสูงขึ้น ก็จะเป็นรายจ่ายของบริษัท เหมือนหมูเนี่ยถ้าอ้วนโตขึ้นเท่าไหร่ก็อายุก็สั้นเท่านั้น ไม่เจริญ มันต้องอยู่ให้ถูกที่ ทนายความต้องมาอยู่สำนักงานทนายความ เพราะยิ่งโตเท่าไหร่ก็จะเป็นภาระรายจ่ายบริษัทมาก เขาก็จะรังเกียจมาก ท้ายสุดคุณก็ต้องออกจากงานแล้วถ้าต้องออกจากงานคนอายุมากๆ ก็จะลำบาก ควรจะมาอยู่ในที่ที่เหมาะแก่อาชีพของเรา ท่านก็เลยแนะนำสำนักงานทนายความ ธรรมนิติ ให้ แล้วก็ฝากให้ผมมาอยู่ ธรรมนิติ

“ผมมาอยู่ธรรมนิติในสมัยนั้นก็ได้รับความไว้วางใจ หัวหน้าสำนักงานก็มอบคดีมาให้ว่าความอุตลุด ธรรมนิตนี่ตั้งมาตั้งแต่ 2490 เป็นของคุณประดิษฐ์ เปรมโยธิน ผมมาอยู่สำนักงานทนายธรรมนิติในปี 2516 ผมเป็นคนขยัน หัวหน้าก็มาคดีให้ทำเยอะ ตอนนั้นในมือก็มี 60-70 เรื่อง ถือว่ามาก ขึ้นศาลเช้าบ่าย เช้าบ่าย ตลอด”

ทราบมาว่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยคุณไพศาลก็เริ่มสนใจการเมืองบ้างแล้ว เป็นไงครับ คุณไพศาล บอกว่า ตอนเรียนธรรมศาสตร์ชอบเป็นนักกิจกรรม สมัยนั้นก็มีการตั้งพรรคในมหาวิทยาลัย ผมก็ไปสมัครเป็นสมาชิกของพรรคเสรีตราชู ก็ได้รับมอบหมายเป็นโฆษกพรรค ก็มีขึ้นปราศรัยหาเสียง ก็เลยมีอัธยาศัยในการชอบปราศรัย ขณะเดียวกันก็ชอบสนุกสนาน ก็ไปสมัครฝึกเต้นรำ ไปสมัครชมรมกีฬาในร่ม ไปเป็นนักหมากฮอสของมหาวิทยาลัย แล้วก็ไปเป็นนักหมากรุกต่อ เล่นบิลเรียด เล่นบิท เรียนหมดที่เป็นการเข้าสังคม เป็นสโมสรนักศึกษา เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้เรากว้างขึ้น

“หนึ่งกินเหล้าเป็น ทำให้รู้เหล้ามีหลายชนิด การเข้าสังคมทำยังไง การเต้นรำทำยังไง มารยาทในการเต้นรำทำยังไง ผมเป็นดาราเต้นรำนะ แล้วก็เล่นบิท เล่นหมากฮอส เล่นไปเรื่อย แล้วก็เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัย เป็นแชมป์หมากฮอสของมหาวิทยาลัย เป็นตัวแทนไปแข่งกีฬามหาวิทยาลัย ผมก็เป็นแชมป์ 5 มหาวิทยาลัย”

การเข้าร่วมการเมืองในขณะนั้นเป็นอย่างไรบ้าง คุณไพศาล บอกว่า สมัยนั้นจอมพลถนอม กิติตขจร รัฐบาลขึ้นค่ารถเมล์จาก 50 สตางค์ เป็น 75 สตางค์ ในรุ่นผมตอนนั้นก็เลยตั้งกลุ่มขึ้นมาคัดค้านการขึ้นค่ารถเมล์ แล้วก็จัดการชุมนุมเดินขบวนขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากการรัฐประหาร 2500 ก็เรียกร้องให้ลดราคาค่ารถเมล์จาก 75 สตางค์เหลือ 50 สตางค์ รัฐบาลก็ใจดีเห็นว่านักศึกษาก็เริ่มต้นแล้วก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แล้วก็ชนะ

ต่อมารัฐบาลก็ออกกฎหมายโบว์ดำ ให้รัฐมนตรีย้ายผู้พิพากษา นักศึกษาธรรมศาสตร์ก็เป็นแกนคัดค้านเพราะถือเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ก็เลยมีการชุมนุมที่กระทรวงยุติธรรม เป็นการชุมนุมข้ามคืนข้ามวันข้าม ผมก็ไปร่วมรบเป็นผู้ปราศรัยบ้าง แต่งเพลงให้เขาร้องบ้าง แต่งกลอนให้เขาอ่านบนเวทีบ้าง ผมชอบพวกนี้ก็เลยได้เข้าร่วมการชุมนุมกัน และการชุมนุมครั้งนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่มีมหาวิทยาลัยอื่นเข้าร่วมด้วย ก็เป็นการเริ่มต้นก่อตัวของการจัดตั้งศูนย์นิสิตนักศึกษาขึ้นในเวลต่อมา

จนกระทั่งมาเกิดกรณีจับ 13 กบฏ จนเกิด 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งตอนนั้นจบการศึกษาแล้วในปี 2513 แต่ก็ไปร่วมการชุมนุมเรื่อยมาด้วย มีการจัดตั้งวงดนตรีชึ้ยมาเพื่อช่วยเหลือกรรมกรในการประท้วง ชื่อวงดนตรี “คนจน” กรรมกรมีชุมนุมที่ไหนโรงงานไหน พวกนี้ก็ไปช่วยเล่น อย่างเช่นเพลง “ศักดิ์ศรีกรรมกร” ก็เป็นคนแต่ง จนมาเกิดกรณีนักศึกษเข้าป่า ก็ได้เข้ามาช่วยทำคดีให้

คุณไพศาล เล่าต่อไปว่า เมื่อปี 2521 หัวหน้าสำนักงานเสีย และตัวเขาเป็นทนายอาวุโส จึงต้องรับภาระสำนักงาน โดยสม ทรัพย์สมบัติก็ยกให้ลูกหลานหมด แต่สำหรับสำนักงานให้ทำต่อในชื่อธรรมนิติ ลูกหลานท่านไม่มีใครเป็นนักกฎหมาย ก็รับแต่ชื่อธรรมนิติมา การดำเนินงานต่อมาก็เลยต้องมาจดทะเบียนตั้งเป็นบริษัทขึ้นมาชื่อบริษัท ธรรมานิติ ด้วยทุน 300,000 บาท จดทะเบียนเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2521 รายได้ปีแรกก็ 585,000 บาท ก็มีการเพิ่มทุนเรื่อยมา จนมาเป็นธรรมนิติในปัจจุบัน

สำหรับการเข้าร่วมทางการเมือง คุณไพศาล บอกว่า “ผมไม่ได้เล่นการเมือง หรือเป็นนักการเมือง แต่ก็ชอบที่จะออกความคิด วิพากษ์วิจารณ์การเมือง ที่ผ่านมา ก็เป็นทั้งเป็นนักเขียนบทความลงในวารสารของกระบวนการต่อสู้ เขียนบทบรรณาธิการ ชอบไปฟังปราศรัย ที่ไหนมีปราศรัยก็จะไปฟัง ยิ่งกว่าคนติดคอนเสริต์ในปัจจุบันอีก แต่ไม่ได้เข้าไปเป็นนักการเมือง เพราะถือว่าเรายังมีอาชีพการงานอยู่ ผมนี่สนิทก้บอาจารย์คึกฤทธิ์ (ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) นะ ก็มาสนิทกับพรรคพวกที่อยู่พรรคประชาธิปัตย์ ปราศรัยที่ไหนก็ตามไปฟังทุกงาน ”

ต่อข้อถามถึงช่วงการเป็นทนายในสมัยนั้นมีคดีอะไรๆ ที่สำคัญบ้าง คุณไพศาล กล่าวว่า ตัวเขาโชคดีที่มีอาจารย์ดี มีคดีสำคัญๆ เข้ามาตั้งแต่เริ่มว่าความใหม่ๆ แล้ว คือทนายสมัยก่อน ถ้าคดีมีทุนทรัพย์เป็นแสนก็ถือเป็นทนายใหญ่แล้ว แต่ก็มีคดีเป็นแสนทั้งนั้น และบางคดีก็หลายร้อยล้าน โดยเฉพาะคดีของคุณพ่อคุณประชัย (ประชัย เลี่ยวไพรัตน์) ถูกสรรพากรประเมินภาษี 400 ล้านบาท ก็เป็นคนไปแก้ต่างคดีนี้ให้ ก็สู้กันเต็มเหนี่ยว สู้กันไปสู้กันมา รัฐบาลในช่วงนั้นเกิดขาดเงินงบประมาณขึ้นมาก็ออกนโยบายนิรโทษกรรมภาษี คือถ้าใครไปชำระภาษี 10% ก็เลิกกันได้ ลูกความผมก็เลยไปขอชำระภาษี 10% คือแค่ 40 ล้าน เรื่องก็จบไป ลูกความก็ถือว่าชนะแล้วก็จ่ายค่าทนายเต็มอัตรา ก็เลยตั้งเนื่อตั้งตัวได้ตั้งแต่บัดนั้น

“ถ้าคดีอาญา ก็เป็นคดีของปลัดกระทรวงมหาดไทยขณะนั้น คือคุณชลอ วนะภูติ ก็ถูกคดีอาญาดังสนั่นหวั่นไหว ผมนี้โชคดีได้ทำคดีใหญ่ๆ คดีดังทั้งนั้น ต้องไปว่าความสู้กับทนายผู้ใหญ่เยอะแยะ เลยกลายเป็นฝีมือในการทำงานทำให้คนรู้จัก เมื่อคนรู้จักมากคดีใหญ่ๆ ก็ตามมา หรือตอนที่ผมอยู่ บริษัท สากลสถาปัตย์ ตอนนั้นก็มีพลเอกกฤษณ์ สีวะรา เป็นประธานบริษัท ผมก็เป็นเลขาฯ ท่าน ผมก็เลยอยู่ในวังวนอำนาจมาตั้งแต่อายุยังน้อย ก็รู้จักนายทหารเรื่อยมทาจนมาถึง พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ์”

คุณไพศาล กล่าวด้วยว่า การที่สามารถคุยกับผู้ใหญ่ได้ด้วยความที่เป็นคนสนใจศึกษามาทั้งด้านประวติศาสตร์ หลักวิชาการต่อสู้ สนใจพิชัยสงคราม ตั้งแต่เด็กๆ จึงทำให้สามารถออกความเห็นได้ สรุปเรื่องราวจากเรื่องยาวให้เป็นเรื่องสั่นได้ ก็ทำให้ผู้ใหญ่รักใคร่ชื่นชอบ เราก็มีข้อมูลไปนำเสนอตลอด

ต่อข้อถามว่า จากประสบการณ์ที่มีมา อยากจะแนะนำอะไรบ้างสำหรับนักกฎหมายใหม่ๆ คุณไพศาล กล่าวว่า ตัวเขาทำงานมาด้วยความราบรื่น ไม้หวือหวา ใช้หลักวิชา ไม่มีอะไรพิศดาร ก็สู้ด้วยวิชาการเป็นหลัก คดีแพ้ชนะก็ว่ากันตามเนื้อผ้า แต่ก็ได้ผลดี จึงมีลูกความเข้ามาเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม วิชาว่าความเป็นวิชาต่างหากนอกจากวิชากฎหมาย มันเป็นวิชาการใช้กฎหมาย และทนายความยังมีวิชาที่ไม่ได้เรียนมาในมหาวิทยาลัย คือวิชาข้อเท็จจริง ซึ่งการจะใช้กฎหมายได้ดี ข้อเท็จจริงต้องมี ที่นี้ข้อเท็จจริงจะดีต้องเรียนโดยเฉพาะ เรียนตรรกะวิทยาด้วย ใช้เหตุผลได้อย่างดี

“เราต้องมีเหตุผลที่ดีที่จะให้ศาลเชื่อ ต้องเรียนรู้จักใช้วิธีใช้เหตุผล แสวงหาความรู้ สู้ด้วยหลักกฎหมาย แล้วก็ต้องรู้จักแสดงเหตุผลว่าความถูกต้องยังไง สามารถทำให้ศาลเชื่อได้อย่างนั้น เห็นได้อย่างนั้น คดีก็จะได้รับผลดี ทนายความต้องมีความสันทัดที่จะทำงาน หรือต้องมีความชำนาญที่ทำงานเป็นแบบทีมให้ได้ ช่วยกันทำงานให้ได้ ถ้าทำงานคนเดียวไปไม่รอด”

อยากบอกอะไรกับทนายความรุ่นใหม่ๆ อย่างไรบ้าง คุณไพศาล บอกว่า ปัจจุบันทนายความบางคนชอบสร้างความดัง ซึ่งทนายความต้องไม่สร้างความดัง ต้องทำงานไปตามจรรยาบรรณและความรู้ที่ถูกต้อง อย่าไปแสวงหาความหิวแสงอย่างเด็ดขาด บางคนชอบหิวแสงออกมาแสดงตนเยอะแยะไปหมด ซี่งมันไม่ใช่มารยาทหรือจรรยาบรรณของทนาย ทนายความมีหน้าที่ว่าความแก้ต่างคดี ไม่มีหน้าที่ไปออกความเห็นวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายในสังคม เพราะว่าการใช้กฎหมายที่เป็นอาวุธ เมื่อเป็นอาวุธ ก็จะมีคนล้มตาย เพราะฉะนั้น จะไปออกความเห็นส่งเดชไม่ได้ บง างทีผัวเมียตีกันก็ไปออกความเห็น ก็คือพวกหิวแสง ต้องมีมารยาทของทนายความ หน้าที่ของทนายความคือการแก้ต่างคดี ไม่มีหน้าที่ไปเสือกเรื่องคนอื่นเขา

“ทนายความเป็นอาชีพที่มีเกียรติ เวลาว่าความก็ต้องสวมเสื้อครุย ที่มีแทบที่เรียกว่าเขาเรียกว่า ดุลยพาหนะ หรือพาหะแห่งความยุติธรรม เพราะฉะนั้น ทนายคือสื่อแห่งความยุติธรรม ดังนั้น คุณทำอะไรต้องคำนึงถึงหน้าที่ตัวนี้ ศักดิ์ศรีจรรยาบรรณ มารยาทของทนายความ โดยเฉพาะคนที่เป็นสมาชิกของเนติบัณฑิต ในต่างประเทศเป็นอาชีพที่มีเกียรติมาก ซึ่งเป็นธรรมขั้นสูงในสังคมที่ทำให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุขได้ มันจะต้องมีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นเขา มีจรรยาบรรณ มีมารยาท มีกฎหมายคุ้มครองป้องกัน และมีหน้าที่ต่อสิ่งเหล่านี้ด้วย”

ต่อข้อถามถึงมองอย่างไรกับกระบวนการยุติธรรมของไทยที่เวลานี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก คุณไพศาล ให้ความเห็นว่า ตอนนี้ต้องถือว่า กระบวนการยุติธรรมหรือกฎหมายบ้านเรานี่ วันนี้ฟั่นเฟือน ระส่ำระสาย ที่ทะเลาะเบาะแว้งกันปัญหาใหญ่คือเรื่องกฎหมายและการใช้กฎหมาย เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้น เรื่องที่ควรจะเป็นมันก็ไม่เป็น ไอ้เรื่องที่ไม่มีปัญหามันก็เป็นปัญหา ไอ้เรื่องที่มันควรจะจบมันก็ไม่จบ ตีความไปคนละแบบ เพราะนั่นก็เพราะคนเขียนกฎหมายมีปัญหาด้วย ไม่เคารพนับถือพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ทรงพระราชทานหลักการในการเขียนกฎหมายไว้ หนึ่งอย่าเขียนให้ยาว ให้เขียนให้สั้น

“เขียนกฎหมายอะไรยาวเหยียด รัฐธรรมนูญประเทศไทยยาวที่สุดในโลก อันที่สองนี่เขียนกฎหมายต้องชัด ไม่ใช่คลุมเครือ คืออ่านแล้วมันต้องเข้าใจได้ ท่านรับสั่งว่า ต้องมห้คำนึงถึงความเข้าใจของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่มีพื้นฐานการศึกษาชั้น ป.6 วันนี้มันเขียนภาษาอะไรกัน ดอกเตอร์นักกฎหมายทั้งนั้นแหละ ทุกวันนี้แตกแยกกันก็เพราะกฎหมายนี่แหละ วันนี้จะฟ้องคดีไม่รู้จะไปฟ้องศาลไหน วันนี้ทำกันจนกฎหมายฟั่นเฟือนวิปริตไปหมด นอกจากนั้น ไอ้คนฉลาดก็ใช้ช่องว่างกฎหมายหาประโยชน์กลั่นแกล้ง ฉ้อฉล เอาเปรียบคนอื่น ทำให้เกิดการคอร์รัปชั้น ถึงเวลาแล้วที่จะต้องปฏิรูปกฎหมายได้แล้ว ขื่อแปรไม่ดีบ้านเมืองจะอยู่ได้ยังไง”

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 1 - 15 มิถุนายน 2568
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
02 มิ.ย. 2568
หากจะพูดหรือเอ่ยถึง “กูรู” หรือ “ผู้รู้” โดยเฉพาะด้านกฎหมาย ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางแล้ว ชื่อของ “ไพศาล พืชมงคล” ยิ่มจะถูกปฎิเสธได้อยากยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่บุคคลผู้นี้จะคร่ำหวอดในวงการกฎหมายมาอย่างยาวนา...