นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร และคณะ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง และพบปะเกษตรกรผู้ปลูกข้าว จ.สุพรรณบุรี /ชัยนาท และสิงห์บุรี พร้อมกล่าวว่า ปัจจุบันปริมาณน้ำต้นทุนใช้การได้ในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก มีปริมาณน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปี 66 จำนวน ถึง 2,546 ล้าน ลบ.ม. รวมทั้งแนวโน้มสถานการณ์เดือนมีนาคม และเมษายน จะร้อนและแล้งกว่าปกติปีที่ผ่านมา  กรมส่งเสริมการเกษตร จึงมีความห่วงใยเกษตรกรที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง โดยเฉพาะการปลูกข้าวนาปรัง รอบที่ 2 ซึ่งจากการติดตามสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่เขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา พบว่า เกษตรกรรับทราบถึงสถานการณ์ปริมาณน้ำต้นทุนที่ใช้การได้ รวมทั้งมีความตระหนักและเข้าใจถึงผลกระทบและความเสียหายต่อผลผลิตรวมทั้งการลงทุนที่จะเกิดขึ้น สอดคล้องกับการสัมภาษณ์เกษตรกรที่เพิ่งเกี่ยวขายข้าวเสร็จเมื่อสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ และจะงดการปลูกข้าวนาปรังรอบ 2 เพื่อรอการส่งน้ำในห้วงวันที่ 1 พฤษภาคม 67 สำหรับปลูกข้าวนาปี

อย่างไรก็ตาม กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังคงเน้นย้ำถึงเกษตรกรในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา หากมีการเพาะปลูกข้าวนาปรังรอบ 2 ผลผลิตอาจเสียหาย ไม่คุ้มทุน อาจส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำสำหรับอุปโภค-บริโภค สำหรับพื้นที่ที่สามารถเพาะปลูกพืชอื่นได้ ขอความร่วมมือให้ปลูกพืชใช้น้ำน้อยทดแทน อาทิ มะเขือ ฟักทอง แตงโม ข้าวโพดหวาน และถั่วลิสง หรือพืชใช้น้ำน้อยอื่น ๆ ตามความเหมาะสม ซึ่งนอกจากจะใช้น้ำน้อยกว่าแล้ว เกษตรกรยังสามารถสร้างกำไรเฉลี่ยได้มากกว่าการทำนาปรัง เฉลี่ยกว่า 1,500 บาทต่อไร่ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่ผลผลิตจะเสียหายจากปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถขอคำปรึกษาและคำแนะนำในการปลูกพืชใช้น้ำน้อย เพื่อวางแผนการผลิตให้เหมาะสมกับพื้นที่ สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าได้ที่สำนักงานเกษตรจังหวัดและสำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้าน