นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) ในระหว่างเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ (UNGA) สมัยที่ 78 ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งขับเคลื่อนในหลายด้าน เพื่อให้ทัดเทียมประเทศอื่นในภูมิภาค ส่วนเรื่องข้อตกลงการค้าเสรี ยังไม่ได้มีการเจรจาที่มากเพียงพอในการดึงดูดประเทศคู่ค้าให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ดังนั้นมีเป้าหมายเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปี เริ่มตั้งแต่ปี 2567 โดยได้รับการสนับสนุนจากการอุดหนุนพลังงานใหม่ การพักชำระหนี้ 3 ปีสำหรับเกษตรกรและธุรกิจขนาดเล็ก การยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนและแผนการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ รวมถึงกระตุ้นการผลิตและดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนสหรัฐฯ

สำหรับเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดหวัง อยู่สูงกว่าระดับร้อยละ 1.8 ในไตรมาส 2/2566 เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนสาเหตุที่เม็ดเงินไหลออกจากประเทศไทย มองว่า เป็นเพราะส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุก ไม่ใช่เพราะนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ดังนั้นขอเวลา 6 เดือน จะทำให้นักลงทุนเปลี่ยนใจกลับเข้ามาลงทุน เพราะประเทศไทยเปิดกว้างและมีศักยภาพทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นและเดินหน้าต่อไป เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน พร้อมมองว่าเศรษฐกิจไทยมีศักยภาพที่จะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 6 หรือ 7 ภายใน 3 ปี แม้มีความท้าทาย ส่วนค่าเงินบาทอ่อนก็เป็นผลดีต่อการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวที่รัฐบาลขับเคลื่อนอย่างเต็มที่

สำหรับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นายกรัฐมนตรี เห็นว่า เป็นหนึ่งในประเด็นที่กังวล เพราะทั้ง 2 ประเทศ มีความสำคัญต่อไทย โดยจีนถือเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของไทย ขณะที่สหรัฐฯเป็นพันธมิตรทางการค้าที่เก่าแก่ที่สุดของไทย ดังนั้นต้องการให้ทั้งจีนและสหรัฐฯได้ประโยชน์จากการที่ไทยเปิดกว้างทางธุรกิจของทั้งสองประเทศ

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า จะเดินทางไปเยี่ยมชมบริษัท เทสลา ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทสหรัฐฯ ในระหว่างการปฏิบัติภารกิจที่สหรัฐฯ และวางแผนพบปะกับผู้บริหารอีกหลายบริษัท ในโอกาสเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APEC Summit) ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองซานฟรานซิสโก ในเดือนพฤศจิกายนนี้